| บทที่ ๑ |  บทที่ ๒ |  บทที่ ๓  |  บทที่ ๔ |  บทที่ ๕ |
 
 
III

การรู้สึกชื่นชมคุณค่าของการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ   ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ ซึ่งกำลังสิ้นสุดลงนี้   มิใช่เป็นการปฏิเสธความมืดมนที่เกิดขึ้นควบคู่กันมา  อัน เป็นความมืดมนที่ทำให้ความสำเร็จต่าง ๆ  เป็นสิ่งที่เด่นชัดขึ้นอย่างมากในทันใด ความ มืดมนเหล่านั้นได้แก่  การทำลายล้างผู้คนที่ไม่สามารถจะช่วยตนเองได้จำนวนหลายล้าน คนโดยเจตนา          การประดิษฐ์คิดค้น และการใช้อาวุธทำลายล้างชนิดใหม่ทั้งหลาย ที่ สามารถจะทำลายล้างมนุษยชาติทั้งหมดได้    การปรากฏขึ้นของลัทธิความเชื่อที่บั่นทอน ชีวิตทางจิตวิญญาณ และความคิดอ่านของประชาชนทุกคนในชาตินั้น ๆ  ความเสียหายที่ เกิดขึ้นกับสภาพแวดล้อมของโลกในระดับที่รุนแรงมาก  จนถึงขั้นที่อาจจะต้องใช้เวลาอีก หลายศตวรรษในการฟื้นฟูให้คืนสู่สภาพเดิม    และความเสียหายที่มากกว่าความเสียหาย อื่นใดอย่างไม่อาจวัดได้ที่เกิดขึ้นกับเด็ก ๆ   หลายรุ่น  ที่ได้ถูกสอนให้เชื่อว่าความรุนแรง ความหยาบโลน และความเห็นแก่ตัว  เป็นชัยชนะของการมีเสรีภาพส่วนบุคคล  ความมืดมนทั้งหลายที่ได้กล่าวมาเป็นเพียงสิ่งต่าง ๆ  ที่เด่นชัดกว่าสิ่งอื่นในบัญชีของความชั่วร้าย ทั้งหลาย ที่ไม่มีสิ่งใดจะมาทัดเทียมได้ในประวัติศาสตร์  ซึ่งบทเรียนจากสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่ง ที่ยุคสมัยของเราจะทิ้งไว้ข้างหลัง      เพื่อการศึกษาของอนุชนอีกหลายรุ่นถัดไปจากเราที่ หลาบจำกับความทุกข์ทรมานที่เกิดจากสิ่งเหล่านี้

อย่างไรก็ตาม    ความมืดมนไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่ถูกประสิทธิ์ประสาทด้วยความมีตัวตน  และแน่นอนไม่มีอิสรภาพในการปกครองตนเอง   มันไม่สามารถจะดับหรือหรี่แสงสว่างลงได้   แต่มันทำเครื่องหมายให้เห็นบริเวณที่แสงสว่างยังส่องไปไม่ถึง   หรือยังสว่าง ไม่เพียงพอได้ชัดขึ้น จึงไม่เป็นที่สงสัยเลยว่าอารยธรรมของศตวรรษที่ยี่สิบจะถูกประเมิน ในลักษณะเช่นเดียวกันนี้   โดยบรรดานักประวัติศาสตร์แห่งยุคในอนาคตที่ปราศจากอคติ และมีวุฒิภาวะมากกว่า ความดุร้ายแห่งธรรมชาติของสัตว์ที่ลุกลามขึ้นเกินกว่าจะควบคุม ได้ในช่วงเวลาหลายปีอันวิกฤตินี้ และบางครั้งก็ดูเหมือนว่าจะคุกคามต่อความอยู่รอดของ สังคม  โดยแท้จริงแล้วไม่สามารถที่จะขัดขวางการปรากฏชัดขึ้นอย่างต่อเนื่องของศักยภาพในทางสร้างสรรค์ต่างๆ  ที่จิตสำนึกของมนุษย์ครอบครองอยู่   ในทางตรงกันข้าม ใน ขณะที่ศตวรรษนี้ดำเนินไป  ผู้คนจำนวนมากขึ้นได้เริ่มตระหนักว่า ความจงรักภักดีต่าง ๆ นั้นช่างไร้จุดหมายเพียงใด   และความกลัวทั้งหลายที่กักขังพวกเขาไว้ ในเวลาเมื่อไม่กี่ปี ก่อนหน้านี้ช่างไร้สาระเพียงใด
พระบาฮาอุลลาห์   ทรงยืนยันว่า  " ยุคนี้ไม่มียุคใดทัดเทียมได้ เพราะเป็นดั่งการ มองเห็นสำหรับยุคสมัยทั้งหลายในอดีต และเป็นดั่งแสงสว่างสำหรับความมืดมนแห่งยุค เหล่านั้น "   ในทรรศนะนี้ประเด็นมิได้อยู่ที่ความมืดมนที่ได้ถ่วง   และบดบังความเจริญ ก้าวหน้าที่เกิดขึ้น ในช่วงเวลาหนึ่งร้อยปีอันไม่ธรรมดาที่กำลังสิ้นสุดลงนี้ แต่อยู่ที่ว่ามนุษย ชาติของเรา จะต้องประสบกับความทุกข์ทรมาน   และความเสียหายอีกมากเพียงใดก่อน ที่เราจะยอมรับได้อย่างเต็มใจ เกี่ยวกับธรรมชาติทางจิตวิญญาณที่สร้างเราให้เป็นประชาชาติเดียวกัน    และก่อนที่เราจะรวบรวมความกล้าหาญให้พอที่จะวางแผนอนาคตของ เรา โดยนำเอาสิ่งที่เราได้เรียนรู้มาด้วยความเจ็บปวดอย่างสาหัสนั้นมาพิจารณาด้วย

 
IV
แนวคิดเกี่ยวกับวิถีทางในอนาคตของอารยธรรม ที่มีอยู่ในพระ ธรรมลิขิตของพระบาฮาอุลลาห์นั้น  คัดค้านในหลายประเด็นต่อการที่ยุคปัจจุบันบังคับให้โลกยอมรับว่ายุคนี้เป็นบรรทัดฐานของสิ่งต่าง ๆ  และจะถูกเปลี่ยนแปลงไม่ได้    ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ที่เกิดขึ้นในระหว่างศตวรรษแห่งแสงสว่างได้เปิดประตูสู่โลกในรูปแบบใหม่   หาก วิวัฒนาการทางสังคม และสติปัญญาตอบสนองต่อความคิดทางศีลธรรมที่แฝงเร้นอยู่ภาย ในอย่างแท้จริงแล้ว ทฤษฎีจำนวนมากที่กำหนดกระบวนการร่วมสมัยต่าง ๆ ที่นำไปสู่การ ตัดสินใจย่อมมีข้อบกพร่องอย่างอันตรายมาก       หากจิตสำนึกของมนุษย์นั้นโดยแก่นแท้ แล้วเป็นเรื่องเกี่ยวกับจิตวิญญาณโดยธรรมชาติ   ดังที่ส่วนใหญ่ของสามัญชนตระหนักถึง ด้วยสัญชาตญาณตลอดมา      ความจำเป็นต่าง ๆ   ด้านการพัฒนาของจิตสำนึกนี้ย่อมไม่ สามารถเป็นที่เข้าใจหรือถูกสนองตอบได้ด้วยการตีความหมายให้กับสภาพความเป็นจริง อันเป็นการตีความที่ยืนกรานอย่างดันทุรังอยู่ในทิศทางตรงกันข้าม      ไม่มีแง่มุมใดของ อารยธรรมร่วมสมัย   จะถูกคัดค้านโดยแนวคิดเกี่ยวกับอนาคตของพระบาฮาอุลลาห์อย่าง ตรงไปตรงมา ได้มากเท่ากับลัทธิอันดาษดื่นแห่งความเป็นปัจเจกชนซึ่งได้แพร่ระบาดไป ในส่วนใหญ่ของโลก ด้วยเหตุที่ถูกบำรุงเลี้ยงโดยแรงผลักดันทางวัฒนธรรมต่าง ๆ  อย่าง เช่น ลัทธิทางการเมือง ความนิยมต่อพวกนักวิชาการหัวสูง  และระบบเศรษฐกิจแบบเน้น ผู้บริโภค  "การไล่ไขว่คว้าหาความสุข"  ได้ก่อให้เกิดความรู้สึกเกี่ยวกับสิทธิส่วนบุคคลใน ลักษณะที่ก้าวร้าว  และเกือบจะไร้ขอบเขต    ผลทางด้านศีลธรรมที่เกิดตามมามีฤทธิ์กัด กร่อนต่อตัวบุคคล และสังคมมากพอ ๆ กัน และล้วนแล้วแต่มีความสามารถในทางทำลาย ล้าง ไม่ว่าจะเป็นโรคร้าย การติดสารเสพติด และสิ่งอื่น ๆ  ที่เป็นความเสื่อมโทรมอันเป็น ที่ชินชาในตอนปลายของศตวรรษ  ภารกิจในการปลดปล่อยมนุษยชาติจากความผิดพลาด ที่ฝังรากลึก และแพร่ระบาดไปทั่วนี้      จะตั้งข้อสงสัยให้กับข้อสันนิษฐานบางประการของ ศตวรรษที่ยี่สิบที่ได้รับการยึดถืออย่างเหนียวแน่นเกี่ยวกับว่าสิ่งใดถูกและสิ่งใดผิด
สิ่งใดบ้างที่เป็นตัวอย่างของข้อสันนิษฐานที่ยังไม่ถูกตรวจสอบเหล่านี้? ที่เด่นชัดที่ สุด ได้แก่  การเชื่ออย่างมั่นคงว่า ความสามัคคีเป็นสิ่งที่อยู่ห่างไกล และเป็นเรื่องที่ เกือบจะบรรลุไม่ได้    ที่จะถูกหยิบหยกมากล่าวถึง ก็เพียงในเวลาภายหลังจากที่ข้อขัดแย้งทาง การเมืองจำนวนมากจะถูกรอมชอมได้แล้ว ความต้องการทางวัตถุจะได้รับการสนองตอบ จนเป็นที่พอใจแล้ว และความอยุติธรรมได้ถูกแก้ไขแล้วเท่านั้น สิ่งที่พระบาฮาอุลลาห์ทรง ยืนยันนั้นเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง   พระองค์ตรัสว่า   โรคร้ายสำคัญที่รบกวนสังคม และก่อให้เกิดความเจ็บป่วยที่ทำลายความสามารถของสังคมลง คือ การแตกสามัคคีของ มนุษยชาติ  ที่ถูกทำให้เด่นชัดขึ้นโดยความสามารถของมนุษย์ในการร่วมมือกัน และโดย ความก้าวหน้าของมนุษย์   ซึ่งขึ้นอยู่กับระดับความสำเร็จของการลงมือปฏิบัติอย่างเป็นน้ำ หนึ่งใจเดียวกัน ที่ได้เกิดขึ้นในโอกาส และในแวดวงสังคมต่าง ๆ มาจนถึงปัจจุบันนี้  การ ยึดติดอยู่กับความคิดที่ว่า     ความขัดแย้ง เป็นลักษณะที่แฝงเร้นอยู่ภายในของธรรมชาติ มนุษย์มากกว่าที่จะเป็นผลรวมของนิสัย และทัศนคติที่ถูกฝึกฝนขึ้น   เป็นการบีบบังคับให้ ศตวรรษใหม่ยอมรับเอาความผิดพลาด ซึ่งได้ขัดขวางความเจริญของอดีตของมนุษยชาติ อย่างน่าสลดใจมากกว่าปัจจัยอื่นใดทั้งหมด พระบาฮาอุลลาห์ได้ทรงให้คำแนะนำแก่บรรดาผู้นำที่ถูกเลือกตั้งว่า " จงพิจารณาโลกเป็นประดุจร่างกายมนุษย์ ซึ่งแม้ว่าถูกสร้างขึ้น มาครบถ้วนสมบูรณ์ ก็ยังถูกรังควานด้วยโรคร้ายแรงจากสาเหตุต่าง ๆ "

สิ่งที่เกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิดกับเรื่องเกี่ยวกับความสามัคคี   คือ    สิ่งท้าทายทาง ศีลธรรมอีกสิ่งหนึ่ง  ที่ศตวรรษที่ผ่านมาได้ทำให้เกิดขึ้นอย่างต้องการการสนองตอบ  โดย เร่งด่วน   พระบาฮาอุลลาห์ทรงประกาศว่า  ในสายพระเนตรของพระผู้เป็นเจ้า   ความยุติ ธรรมเป็น "สิ่งอันเป็นที่รักยิ่งที่สุด"   ความยุติธรรมทำให้บุคคลสามารถมองเห็นความ จริงด้วยตาของเขาหรือเธอเองมิใช่ด้วยตาของผู้อื่น   ความยุติธรรมประสิทธิ์ประสาทอำ - นาจที่จะสามารถรับประกันความสามัคคีในความคิด    และการกระทำให้แก่การตัดสินใจ ร่วมกัน   ไม่ว่าระบบของการจัดระเบียบระหว่างประเทศที่ปรากฏโฉมขึ้นมาจากประสบ - การณ์อันชอกช้ำต่าง ๆ ของศตวรรษที่ยี่สิบจะเป็นที่น่าพึงพอใจเพียงใดก็ตาม   อิทธิพลที่ จะคงทนต่อไปของระบบนี้ ก็จะยังขึ้นอยู่กับการยอมรับในหลักการทางศีลธรรมที่แสดงนัยอยู่ภายในระบบนั้น  หากมนุษยชาติทั้งหมดเป็นหนึ่งเดียว  และไม่สามารถถูกแบ่งแยกได้ อย่างแน่นอนแล้ว   อำนาจที่สถาบันที่ทำหน้าที่ปกครองมนุษยชาติใช้นั้น โดยแก่นแท้แล้ว ย่อมจะต้องเป็นเครื่องหมายของตำแหน่งผู้พิทักษ์    บุคคลแต่ละคนที่เกิดมาในโลกนี้เป็น ความรับผิดชอบของคนทั้งหมด และลักษณะเช่นนี้ของการดำรงอยู่ของมนุษย์นี่เอง ที่เป็น พื้นฐานอันแท้จริงของสิทธิทางสังคม  เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมที่กฎบัตรของสหประชาชาติและเอกสารที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ กล่าวถึงไว้อย่างชัดเจนความยุติธรรมและความสามัคคี นั้นส่งผลตอบแทนซึ่งกันและกัน  พระบาฮาอุลลาห์ทรงลิขิตไว้ว่า " จุดประสงค์ของความ ยุติธรรมคือการบังเกิดขึ้นของ ความสามัคคีในหมู่มนุษย์ มหาสมุทรของความรอบรู้แห่ง สวรรค์  สาดซัดอยู่ในถ้อยวจนะอันประเสริฐนี้   ขณะที่ตำราทั้งหลายของโลกไม่สามารถ บรรจุความหมายที่อยู่ข้างในถ้อยวจนะนี้ได้ "
ในขณะที่สังคมผูกมัดตนเองกับหลักการทางศีลธรรมเหล่านี้หรือกับหลักการอื่น ๆที่เกี่ยวข้อง   ไม่ว่าจะเป็นการผูกมัดอย่างลังเลใจ หรืออย่างหวาดกลัวเพียงใดก็ตาม   บท บาทที่มีความหมายที่สุดที่การผูกมัดนี้ จะหยิบยื่นให้แก่แต่ละบุคคลนั้น   จะเป็นบทบาทที่ เกี่ยวข้องกับการรับใช้บริการ   หนึ่งในบรรดาคำกล่าวที่ขัดแย้งกันเองเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ คือคำกล่าวที่ว่า   การพัฒนาของอัตตาโดยส่วนใหญ่แล้ว เกิดมาจากการผูกมัดตนเองเข้า กับภารกิจขนาดใหญ่ทั้งหลาย ที่ความเป็นตัวตนของบุคคลจะถูกหลงลืมไปแม้จะเพียงชั่ว ขณะก็ตามในยุคที่เปิดกว้างต้อนรับทุกคนสู่โอกาสในการเข้าร่วมอย่างมีประสิทธิภาพ ใน การหล่อหลอมระบบของสังคมเอง    อุดมคติเกี่ยวกับการบริการรับใช้แก่ผู้อื่นนั้น กำลังมี ความสำคัญในระดับใหม่ การยกย่องเป้าหมายบางอย่างเช่น  การได้มาซึ่งการถือสิทธิใน สิ่งต่าง ๆ  และการยืนยันความคิดเห็น  และความต้องการของบุคคลว่า    เป็นจุดประสงค์ ของชีวิตนับว่าเป็นการให้ความสนับสนุนอย่างมากแก่ด้านที่เป็นสัตว์ของธรรมชาติมนุษย์ ถ้อยคำที่ถูกทำให้ดูเรียบง่ายเกินความจริง    เกี่ยวกับการหาทางรอดแก่จิตวิญญาณของ บุคคลก็ไม่สามารถที่จะชี้ให้เห็นได้อีกต่อไปถึง  ความปรารถนาต่าง ๆ ของชนหลายรุ่นที่ ได้เรียนรู้ด้วยความมั่นใจอย่างยิ่งว่า ความสำเร็จที่แท้จริงนั้นเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับโลก นี้มากเท่า ๆ กับที่เกี่ยวข้องกับโลกหน้า   พระบาฮาอุลลาห์ทรงให้คำแนะนำว่า  " จงเอา ใจใส่ห่วงใยต่อความต้องการของยุคที่เจ้ามีชีวิตอยู่ และมุ่งการหารือกันของเจ้าไปยังสิ่ง ที่จำเป็นและรีบด่วนของยุคนี้ "
ทรรศนะต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้น  มีนัยอันลึกซึ้งต่าง ๆ   สำหรับการประกอบภารกิจ ต่าง ๆ ของมนุษย์ ตัวอย่างเช่น เป็นที่ชัดเจนว่าไม่ว่าบทบาทในอดีตของมันจะเป็นอะไรก็ ตาม       รัฐประเทศที่แบ่งออกตามเชื้อชาติหากยิ่งดำรงอยู่ต่อไป   ในลักษณะที่มีอิทธิพล ครอบงำต่อการกำหนดโชคชะตาของมนุษยชาตินานเท่าใด    ก็ยิ่งทำให้การบรรลุสู่สันติ - ภาพของโลกเกิดขึ้นช้าลงและความทุกข์ยากที่รังควานประชากรของโลกก็จะยิ่งเพิ่มมาก ขึ้นเท่านั้น   ในชีวิตด้านเศรษฐกิจของมนุษย์   ไม่ว่าความสุขซึ่งโลกาภิวัตน์นำมานั้น จะมี มากเพียงใดก็ตาม ก็ยังเป็นที่ชัดเจนว่ากระบวนการนี้ได้ทำให้เกิดการรวมตัวกันอย่างไม่ มีสิ่งใดทัดเทียมได้ ของอำนาจแบบไร้ขีดจำกัด    ที่ควรจะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมแบบ ประชาธิปไตยของนานาชาติ   หากจะไม่ให้สิ่งเหล่านี้ก่อให้เกิดความยากจนและความสิ้น หวังแก่ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วน ในลักษณะที่คล้ายคลึงกัน   ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ อันสำคัญและมีอิทธิพลต่อมนุษย์ทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ซึ่งเป็นวิถี ทางที่มีอานุภาพมากในการสนับสนุนการพัฒนาทางสังคม       และการทำให้ผู้คนมีความ ตระหนักมากขึ้นถึงความเป็นมนุษย์เหมือนกันของบุคคลอื่นนั้น   ก็อาจสามารถที่จะหันเห ทิศทาง         และก่อความไม่ราบรื่นแก่แรงกระตุ้น ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการอำนวย ประโยชน์ของกระบวนการนี้ได้ด้วยระดับกำลังที่มากพอกัน

 
V
สิ่งที่พระบาฮาอุลลาห์กำลังตรัสถึงก็คือ ความสัมพันธ์ในรูปแบบ ใหม่ระหว่างพระผู้เป็นเจ้ากับมนุษย์ ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ที่สอดคล้องกับวุฒิภาวะที่กำลังปรากฏโฉมออกมา ของมนุษยชาติ    สัจธรรมขั้นสูงสุดที่ได้สร้าง  และรักษาไว้ซึ่งจักรวาลจะคงอยู่ห่างไกลพ้น จากการเอื้อมถึงได้ของสติปัญญามนุษย์ตลอดไป     ความสัมพันธ์ที่มนุษย์ตระหนักได้กับ สัจธรรมนี้  ในขอบเขตที่ความสัมพันธ์นี้ถูกสร้างขึ้นมานั้น  เป็นผลของอำนาจโน้มน้าวจิต ใจของเหล่าพระศาสดาผู้ก่อตั้งศาสนาที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย ได้แก่ พระโมเสส พระโซโรแอส เตอร์  พระพุทธเจ้า  พระเยซู  พระมะหะหมัด และพระศาสดาองค์อื่น ๆ  ก่อนหน้านี้ที่พระ นามได้เลือนหายไปจากความทรงจำ     โดยการตอบสนองต่อแรงกระตุ้นใจทั้งหลาย จาก พระผู้เสด็จมาจากสวรรค์  ประชากรของโลกได้พัฒนาความสามารถทางจิตวิญญาณ  สติ ปัญญา และจริยธรรมขึ้นอย่างต่อเนื่อง   ซึ่งเป็นความสามารถที่ประสานกันเข้าเพื่อทำให้ มนุษย์เป็นผู้มีอารยธรรม   กระบวนการที่สะสมมายาวนานนับพันปี     ณ เวลานี้ได้ก้าวถึง ระยะที่มีความโดดเด่นของการเป็นจุดหันเหต่าง ๆ  ของการตัดสินใจในกระบวนการแห่ง วิวัฒนาการ    อันเป็นระยะที่ความเป็นไปได้ต่าง ๆ     ซึ่งไม่เคยเป็นที่ตระหนักมาก่อนได้ ปรากฏขึ้นในทันทีทันใด  พระบาฮาอุลลาห์ได้ทรงประกาศว่า" ยุคนี้เป็นยุคที่ความโปรด ปรานอันวิศิษฏ์สุดของพระผู้เป็นเจ้าได้หลั่งไหลมาสู่มวลมนุษย์  เป็นยุคที่พระกรุณาธิคุณ อันยิ่งใหญ่ที่สุดของพระองค์ได้ซึมซาบไปทั่วทุกสรรพสิ่ง "
ดังที่หยั่งเห็นไว้โดยสายพระเนตรของพระบาฮาอุลลาห์ ประวัติศาสตร์ของเผ่าพันธุ์ เชื้อชาติ และประชาชาติต่าง ๆ ได้มาถึงบทสรุปอย่างน่าพึงพอใจ สิ่งที่เรากำลังเป็นพยาน ให้ในปัจจุบัน  คือ  การเริ่มต้นขึ้นของประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ  อันเป็นประวัติศาสตร์ ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ตระหนักถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวของตนเอง ณ จุดหักเหนี้ในวิถี ของอารยธรรม พระธรรมลิขิตของพระบาฮาอุลลาห์นำเอา การกำหนดความหมายใหม่มา ให้กับธรรมชาติและกระบวนการหล่อหลอมอารยธรรม และทำการจัดลำดับของความสำคัญต่าง ๆ เสียใหม่     เป้าหมายของพระธรรมลิขิตเหล่านี้ก็คือ   เพื่อร้องเรียกพวกเราให้ กลับไปสู่ความตระหนัก และความรับผิดชอบทางจิตวิญญาณ
ไม่มีตอนใดในพระธรรมลิขิตของพระบาฮาอุลลาห์     ที่จะให้การส่งเสริมแก่ความ เข้าใจผิดที่ว่าการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ  ที่เล็งเห็นไว้ล่วงหน้านั้นจะเกิดขึ้นอย่างง่ายดาย ใน ทางตรงกันข้าม    การเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นยังอยู่ห่างไกลนัก  ดังที่เหตุการณ์ต่าง ๆ ของ ศตวรรษที่ยี่สิบได้แสดงให้เห็นแล้วว่า   แบบแผนของนิสัย และทัศนคติที่ฝังรากลึกมานาน หลายพันปียังไม่ถูกละทิ้งไป ไม่ว่าจะเป็นไปโดยสมัครใจหรือจะเป็นการตอบสนองต่อการ ศึกษาหรือการออกกฎหมายก็ตาม   ไม่ว่าจะเป็นในการดำเนินชีวิตของบุคคล   หรือสังคม การเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้ง   โดยปกติแล้วมักจะเกิดขึ้นเพื่อตอบสนองต่อความทุกข์ทรมานอันแสนสาหัส   และต่อความยากลำบากที่ไม่อาจจะทนรับได้ไหวทั้งหลาย    ที่ไม่สามารถจะถูกเอาชนะได้โดยวิธีอื่นใด    พระบาฮาอุลลาห์ได้ทรงเตือนว่า  ประสบการณ์ที่ กำลังทดสอบมนุษย์อยู่นี้ เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากสำหรับการหลอมรวมประชาชนที่หลาก หลายของโลกให้เป็นประชาชาติเดียวกัน

แนวคิดต่าง ๆ ด้านจิตวิญญาณและวัตถุเกี่ยวกับธรรมชาติของความจริงนั้นไม่อาจ ลงรอยกันได้ และต่างก็นำไปสู่ทิศทางที่ตรงข้ามกัน   ขณะที่ศตวรรษใหม่กำลังเริ่มต้น วิถี ทางที่ถูกวางไว้โดยแนวคิดทางวัตถุของทรรศนะที่ขัดแย้งกันนี้      ได้นำพามนุษยชาติผู้ที่ เคราะห์ร้ายไป  ไกลจนพ้นจุดที่อยู่ไกลที่สุดที่ภาพลวงตาของความมีเหตุผลจะสามารถถูก รักษาเอาไว้ได้เสียแล้ว  แล้วจะป่วยการกล่าวไปไยเล่าถึงความผาสุกของมนุษย์วัน แล้ววันเล่าที่ผ่านไป สัญญาณต่าง ๆ ได้เพิ่มทวีคูณในทางที่บ่งบอกว่า ประชาชนจำนวนมหาศาล ในทุกแห่งหนกำลังตื่นขึ้นสู่ความเข้าใจในเรื่องนี้
ทั้ง ๆ ที่แนวคิดในทิศทางตรงกันข้ามจะมีอยู่อย่างดาษดื่นก็ตามมนุษยชาตินั้นมิใช่ แผ่นจารึกอันว่างเปล่าที่บรรดาผู้ที่ได้รับสิทธิพิเศษ ในการมีอำนาจชี้ขาดในกิจการต่าง ๆ ของมนุษย์จะสามารถจารึกความปรารถนาของพวกเขาได้โดยอิสระ น้ำพุทั้งหลายแห่งจิต วิญญาณจะพุ่งขึ้นในที่ที่น้ำพุเหล่านั้นตั้งใจไว้   และพุ่งขึ้นมาในลักษณะที่น้ำพุนั้นต้องการ น้ำพุเหล่านี้จะไม่ถูกปิดกั้นไว้ตลอดไปโดยซากปรักหักพังของสังคมร่วมสมัย  ไม่จำเป็นที่ จะต้องมีการหยั่งรู้ล่วงหน้าเพี่อที่จะรู้สึกชื่นชมว่าช่วงปีแรก ๆ ของศตวรรษใหม่   จะมีการ ปลดปล่อยพลังและความมุ่งหวังต่าง ๆ ที่มีอานุภาพอย่างมากล้นเหนือกว่าแนวทางที่ปฏิบัติกันเป็นประจำ     ความผิดพลาด และการยึดติดทั้งหลายที่ถูกสะสมมา   ซึ่งได้กีดขวาง การแสดงออกของพลังและความมุ่งหวังเหล่านี้มาเป็นเวลานาน
ไม่ว่าความยุ่งยากจะมีมากเพียงใด ช่วงเวลาที่มนุษยชาติกำลังก้าวไปสู่นี้จะเปิดโอ กาสต่าง ๆ  อันไม่เคยมีมาก่อนให้กับทุกบุคคล ทุกสถาบัน และทุกชุมชนบนโลก  ในการ ที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมในการกำหนดอนาคตของโลก   พระบาฮาอุลลาห์ทรงสัญญาไว้อย่าง มั่นใจว่า " ในไม่ช้าระบบในปัจจุบันจะถูกม้วนเก็บ และระบบใหม่จะคลี่ออกมาแทนที่ "

 
go top

 
กำเนิดบาไฮ | การขยายศาสนา |  ระบบการบริหาร |  คำสอนบาไฮ |  นมัสการ |  การเป็นบาไฮ 
พัฒนาวิญญาณ |  ใครกำหนดอนาคต |  สักการสถานบาไฮ