ความคิดเกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้า <
ธรรมชาติและจุดประสงค์ของศาสนา <
ทรรศนะของบาไฮเกี่ยวกับศาสนาและความสัมพันธ์ของศาสนาบาไฮกับศาสนาอื่น <
พระองค์ผู้เป็นศูนย์กลางศาสนาบาไฮ <
| พระบ๊อบ |  พระบาฮาอุลลาห์ |  พระปฏิญญา |  พระอับดุลบาฮา : ศูนย์กลางแห่งพระปฏิญญา |  ท่านโชกิ เอฟเฟนดิ |
 
 
ความคิดเกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้า

พระผู้เป็นเจ้าคืออะไร
บาไฮมีความเชื่อว่า พระผู้เป็นเพียงพระองค์เดียว แต่เป็นที่รู้จักกันไปตามชื่อเรียกต่าง ๆ นานา  ตามภาษาที่แตกต่างกัน  เช่น พระองค์ถูกเรียกว่า "ก๊อด" ในภาษาอังกฤษ"ยาวีห์"  หรือ  "ยะโฮวา"  ในภาษาฮีบรู  "อัลลาห์"  ในภาษาอาหรับ "ดีโอส" ในภาษาสเปน  "พระพรหม"  ในภาษาฮินดู  กระนั้นก็ตามอำนาจสูงสุดมีเพียงหนึ่งเท่านั้น  ซึ่งในคัมภีร์บาไฮได้อธิบายไว้ว่า  เป็นพระผู้ทรงอำนาจ พระผู้ทรงมหิทธานุภาพ  พระผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง พระผู้ดำรงอยู่นิรันดร์
ไม่มีผู้ใดเคยเห็นพระผู้เป็นเจ้าเราอาจนึกคิดเกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้าได้บ้างโดยการ สังเกตความอัศจรรย์ของธรรมชาติที่พระองค์สร้างขึ้นมา  ดังเช่น เราสามารถนึกคิดเกี่ยว กับจิตรกรได้จากการดูภาพเขียนของเขา  อย่างไรก็ตาม  ไม่มีใครเข้าใจถ่องแท้ว่าพระผู้ เป็นเจ้าคืออะไร มนุษย์ไม่สามารถเข้าใจ ไม่สามารถคิดไปไกลเกินกว่าประสบการณ์ของ มนุษย์เอง และพระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่เหนือประสบการณ์ของมนุษย์  แม้แต่การอ้างถึงพระองค์ด้วยคำว่า "พระองค์"  หรือ  "พระผู้เป็นเจ้า"  หรือว่าจะด้วยชื่อใดก็ตาม เป็นเพียง เพื่อความสะดวกที่จะช่วยให้เราทำความเข้าใจในสิ่งที่เราไม่สามารถเข้าใจได้
พระผู้เป็นเจ้าอยู่เหนือญาณทัสนะของมนุษย์ ธรรมนิพนธ์บาไฮบอกไว้ว่า มนุษย์ไม่ สามารถหยั่งรู้สาระของพระผู้เป็นเจ้า
" พระองค์ทรงเร้นลับอยู่ในสาระอนันต์ของพระองค์ และสภาวะของพระ องค์จะทรงซ่อนเร้นจากสายตาของมนุษย์ชั่วนิรันดร์......" พระบาฮาอุลลาห์
" ตั้งแต่อดีตกาลที่หาจุดเริ่มต้นมิได้  พระองค์ผู้ทรงเป็นอนันต์ ทรงซ่อน เร้นอยู่ในความวิสุทธิ์อันประเสริฐเกินกว่าจะพรรณนาได้ และจะคงลึกลับอยู่ใน สาระของพระองค์ ซึ่งอยู่เหนือญาณทัสนะเกินกว่าปัญญาจะเข้าถึง "  พระบาฮาอุลลาห์
พระผู้เป็นเจ้าอยู่เหนือญาณทัสนะ แต่ถึงกระนั้นใน บทอธิษฐานบาไฮที่สำคัญที่สุด บทหนึ่ง พระบาฮาอุลลาห์  ผู้ก่อตั้งศาสนาบาไฮทรงเปิดเผยไว้ว่า เจตนาของการสร้างเรา ขึ้นมานั้นก็คือ  เพื่อให้เรารู้จัก  และรักพระผู้เป็นเจ้าดังที่พระองค์รักเรา " ข้าแต่พระผู้ เป็นเจ้า ข้าพเจ้าขอเป็นสักขีพยานว่า พระองค์ทรงสร้างข้าพเจ้าขึ้นมาเพื่อให้ รู้จักและบูชาพระองค์ บัดนี้ข้าพเจ้าขอยืนยันความไร้อำนาจของข้าพเจ้าและเด ชานุภาพของพระองค์ พระผู้ทรงช่วยเหลือในภยันตราย พระผู้ทรงดำรงอยู่ด้วยตนเอง " พระบาฮาอุลลาห์
หากพระผู้เป็นเจ้าอยู่เหนือญาณทัสนะ    มนุษยชาติจะบรรลุจุดประสงค์ที่ตนได้ถูกสร้างขึ้นมา และจะรู้จักพระผู้เป็นเจ้าได้อย่างไร พระศาสดาผู้ก่อตั้งศาสนา

แผนผัง : พระผู้เป็นเจ้าสะท้อนพระธรรมผ่านพระศาสดาต่างๆ

พระผู้เป็นเจ้ารักสิ่งสร้างสรรค์ของพระองค์ พระองค์ส่งครูมาบอกเราว่า  พระผู้เป็น เจ้าคืออะไร  และนำทางมนุษยชาติไปตามแผนงานของพระองค์   เพื่อความก้าวหน้าของ อารยธรรม บางครั้งครูเหล่านี้ก็ถูกเรียกว่า  พระอวตาร  ศาสนฑูต  พระศาสดา  หรือพระผู้ แสดงธรรมของพระผู้เป็นเจ้า   องค์ศาสดาเหล่านี้เป็นมนุษย์ที่พิเศษ  ได้รับเลือกโดยพระ ผู้เป็นเจ้าให้มาแสดงธรรมในเวลาต่างกันในประวัติศาสตร์   พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระ ผู้เป็นเจ้าตรัสต่อมนุษยชาติผ่านทางพระศาสดาเหล่านี้    พระศาสดามีธรรมชาติสองลักษณะอยู่ในตัว  นั่นคือ  พระองค์เป็นมนุษย์เหมือนกับคนอื่นที่ต้องกินต้องนอน  แต่วิญญาณ ของพระองค์เป็นอิสระ และอยู่เหนือขีดจำกัดของร่างกาย  อำนาจของพระผู้เป็นเจ้าปฏิบัติ การผ่านทางพระศาสดา  ดังนั้นพระศาสดาจึงมีชัยเหนือหัวใจมนุษย์ในที่สุด  และเมื่อประ ชาชนหันมารักพระองค์   ชีวิตของพวกเขาจะเปลี่ยนไป  ดังเช่นกับกระจกเงาสะท้อนแสง อาทิตย์ให้ผู้คนมองเห็นดวงอาทิตย์ได้โดยตาไม่เสีย   พระผู้แสดงธรรมของพระผู้เป็นเจ้า คือ"กระจกที่ใสสะอาด" แต่ละพระองค์สะท้อนคุณลักษณะและคุณสมบัติของพระผู้เป็น เจ้า เช่น  ความปราณี  ความรัก  ความเมตตา ความเอื้อเฟื้อ ฯลฯ  เรารู้จักพระผู้เป็นเจ้า ด้วยคุณลักษณะเหล่านี้
ทางเดียวที่เราจะรู้จักพระผู้เป็นเจ้าได้ดีคือ  การมองไปยัง "กระจกที่ใสสะอาด" เหล่านี้   ผู้ที่สะท้อนรัศมีของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้ามายังมนุษยชาติ  พระ วิญญาณบริสุทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้าหวนกลับมาในแต่ละสมัยเพื่อนำทางให้มนุษยชาติ โดย การปฏิบัติตามคำสอน และการนำทางของพระศาสดาที่บอกเราว่า  พระผู้เป็นเจ้าต้องการ ให้เราดำเนินชีวิตและประพฤติตนอย่างไร มนุษยชาติจึงบูชาพระองค์ได้
เมื่อผู้ใดสวดอธิษฐาน  ทำสมาธิ  เพื่อบรรลุคุณธรรมและคุณลักษณะของพระผู้เป็น เจ้า กล่าวได้ว่า ผู้นั้นกำลังพัฒนาเพื่อที่จะเป็น "รูปจำลองของพระผู้เป็นเจ้า"
 
ธรรมชาติและจุดประสงค์ของศาสนา

จุดประสงค์
พระบาฮาอุลลาห์ทรงกล่าวว่า  " สาระของศาสนาคือ  การเป็นพยานต่อสิ่งที่ พระผู้เป็นเจ้าเปิดเผย และปฏิบัติตามสิ่งที่พระองค์บัญญัติไว้ในพระคัมภีร์ที่ยิ่ง ใหญ่ "   พระศาสดาทุกพระองค์ทรงเปิดเผยวจนะ   ซึ่งบัดนี้บรรจุอยู่ในคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ เพื่อการศึกษาด้านศีลธรรม  และจริยธรรมสำหรับมนุษย์  เป็นหลักธรรมที่คงอยู่ไม่เปลี่ยน แปลง  พระศาสดาทั้งหลายทรงเปิดเผยกฎทางสังคม  ซึ่งประยุกต์ใช้ได้กับความต้องการ และความเปลี่ยนแปลงที่ต่างกันไปตามยุคตามสมัยในแต่ละสังคม ซึ่งขึ้นอยู่กับมนุษยชาติ ที่จะเรียนรู้พระประสงค์และคำสอนของพระผู้เป็นเจ้าและปฏิบัติตาม
พระผู้เป็นเจ้าต้องการให้มนุษย์ทุกคนอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างสันติ  ปรองดอง และจุด ประสงค์ของศาสนาคือการจัดหาวิธีต่าง ๆ ที่จะทำให้สิ่งนี้สัมฤทธิ์ผล
 
ทรรศนะของบาไฮเกี่ยวกับศาสนา และความสัมพันธ์ของศาสนาบาไฮกับศาสนาอื่น
 

คุณเคยแปลกใจไหมว่าเหตุใดจึงมีศาสนามากมายในโลก ทุกคนอ้างว่า พระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริงมีองค์เดียว และพระองค์เป็นแหล่งกำเนิดของ แรงบันดาลใจ   กระนั้นก็ตาม  พวกเขามีข้อคิดเห็นขัดแย้งกัน และต่อสู้กันระหว่างศาสนา และภายในศาสนาเดียวกัน  เพื่อให้ความเชื่อของตนเป็นที่ยอมรับ  เป็นไปได้หรือที่พระผู้ เป็นเจ้าผู้เป็นพระบิดาที่เปี่ยมด้วยความรัก  ผู้ทรงสร้างเราและรักเราทุกคนเสมือนกับลูกหลาน จะเป็นสาเหตุของความเจ็บปวดและความขัดแย้งเช่นนี้
ธรรมนิพนธ์บาไฮได้อธิบายปัญหาเหล่านี้ว่า  พระผู้เป็นเจ้ามีแผนงานอันยิ่งใหญ่สำ หรับมนุษย์  คือ  การนำพาเราให้ใกล้กับพระองค์ยิ่งขึ้น   หากพระองค์เปิดเผยแผนงานทั้ง หมดให้แก่มนุษย์ในครั้งเดียวย่อมจะมากเกินกว่าที่เราจะรับไว้ได้   ดังนั้นพระองค์จึงเปิด เผยแผนงานนั้นแก่เราทีละน้อย
ประวัติศาสตร์บอกว่า  มนุษยชาติมีวิวัฒนาการจากสังคมที่เป็นแบบง่าย ๆ  ในสมัย โบราณขึ้นมาเป็นยุคที่มีวิวัฒนาการซับซ้อนในปัจจุบัน    เป็นเสมือนการเจริญเติบโตของ แต่ละคนจากวัยเด็กสู่วัยรุ่น แล้วเป็นผู้ใหญ่  พัฒนาการแต่ละระยะจำเป็นต้องมีครูคนใหม่ จากพระผู้เป็นเจ้านำทางให้ประชาชนในสมัยนั้นเจริญก้าวหน้า    และทุกครั้งที่ครูคนใหม่ มาปรากฏ ท่านก่อตั้งศาสนาใหม่
ดังเช่นในโรงเรียน ครูสอนในชั้นเรียนตามอายุและความสามารถของเด็กและสอน ด้วยวิธีที่เด็กจะเข้าใจได้   เช่นกันมนุษยชาติที่ต้องผ่าน "โรงเรียนของพระผู้เป็นเจ้า" โดยมีครูคือ  พระศาสดา  มาสอนให้เหมาะกับความสามารถของประชาชน ที่จะเข้าใจใน โรงเรียน แต่ละชั้นเรียนสอนเพิ่มจากความรู้ที่เรียนมาในชั้นก่อน  เช่นเดียวกับการศึกษา ของพระผู้เป็นเจ้า  พระศาสดาแต่ละพระองค์มิได้ปฏิเสธคำสอนของพระศาสดาที่เสด็จมา ก่อน แต่มาสอนเพิ่ม
ท่านโชกิ  เอฟเฟนดิ   ผู้เป็นเหลนของพระบาฮาอุลลาห์  อธิบายไว้ว่า  บทบาทของ พระบาฮาอุลลาห์สำหรับยุคนี้ " คือการประกาศว่า วัยทารกและวัยเด็กของมนุษยชาติ ได้ผ่านไปแล้ว ความโกลาหลที่สัมพันธ์กับวัยรุ่นของมนุษยชาติในปัจจุบัน กำลังไปสู่วัยผู้ใหญ่อย่างช้า ๆ และเจ็บปวด.........ความสามัคคีของครอบครัว เผ่าพันธุ์ นครรัฐ และชาติ  ได้พยายามจนสำเร็จและสถาปนาโดยบริบูรณ์แล้ว ความสามัคคีของโลก คือเป้าหมายที่มนุษยชาติกำลังตรากตรำพยายามจะไป ให้ถึง "
การศึกษาคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของทุกศาสนา  จะเห็นว่า ศาสดาแต่ละพระองค์มีคำสอน ด้านศีลธรรมเหมือนกัน คือ  คำสอนเกี่ยวกับความรัก ศีลธรรม จริยธรรม และพระศาสดา ทรงเพิ่มเติมคำสอนมากขึ้นทุกครั้งที่พระองค์เสด็จมา
พระศาสดายังทรงเปลี่ยนกฎทางสังคมบางข้อ   เพื่อจะทำให้กฎเหล่านั้นเหมาะสม กับยุคสมัยที่พระศาสดามีชีวิตอยู่และเพื่อ   " สืบทอดอารยธรรมที่ก้าวหน้าอย่างไม่มีสิ้นสุด "
ศาสนาต่าง ๆ ในโลกปัจจุบันดูเหมือนแตกต่าง และแยกจากกัน   แต่ตามทรรศนะใหม่จากคำสอนของพระบาฮาอุลลาห์  จะเห็นได้ว่าทุกศาสนากำเนิดมาจากพระผู้เป็นเจ้า เดียวกัน  นั่นคือ  เป็นพระประสงค์และการนำทางของพระผู้เป็นเจ้าที่เปิดเผยสืบเนื่องกัน มาตลอดประวัติศาสตร์  เมื่อเวลาได้ผ่านไป มนุษยชาติเข้าใจและตีความผิดเกี่ยวกับสิ่งที่ พระศาสดาแต่ละพระองค์มาเปลี่ยนแปลง  ถือว่าคำสอนใหม่นั้นขัดแย้งและไม่สัมพันธ์กับ คำสอนเดิม แทนที่จะคิดว่าเป็นขั้นตอนใหม่ที่พระผู้เป็นเจ้ามาสอนมนุษยชาติ แม้ว่าบาไฮ จะปฏิบัติตามคำสอนของพระบาฮาอุลลาห์ ซึ่งเราเชื่อว่าเป็นพระศาสดาองค์ล่าสุดจากพระ ผู้เป็นเจ้าที่นำคำสอนต่าง ๆ มาให้ซึ่งเหมาะสมกับยุคที่เรามีชีวิตอยู่นี้ กระนั้นก็ตาม บาไฮ ยอมรับและเคารพศาสดาทุกพระองค์ที่เสด็จมาก่อนหน้านี้   พระบาฮาอุลลาห์ทรงกล่าวว่า "หากเจ้าปฏิเสธพระศาสดาองค์หนึ่งเท่ากับว่าเจ้าปฏิเสธทุกพระองค์"
 
สามพระองค์ผู้เป็นศูนย์กลางศาสนาบาไฮ

พระบ๊อบ
ก่อนกำเนิดศาสนาบาไฮ  มีศาสนาหนึ่งเริ่มต้นในอิหร่านในปี ค.ศ. ๑๘๓๓   โดยมี ชายหนุ่มชื่อ ซียิด  อาลี  โมฮัมหมัด ซึ่งมีพระนามว่า  พระบ๊อบ  พระองค์ประสูติที่เมืองชี ราชประเทศอิหร่าน   เมื่อวันที่ ๒0 ตุลาคม ค.ศ. ๑๕๑๙   พระองค์สืบเชื้อสายมาจากพระ ศาสดาโมฮัมหมัด  บิดาของพระองค์เสียชีวิตหลังจากที่พระองค์ประสูติได้ไม่นาน   ดังนั้น พระองค์ได้รับการเลี้ยงดูโดยลุงฝ่ายมารดา และในที่สุดสละชีวิตเพื่อศาสนาของพระองค์
"บ๊อบ"   ในภาษาอาหรับหมายความว่า  "ประตู"   ภาระกิจของพระบ๊อบก็คือการ ตระเตรียมประชาชนสำหรับการเสด็จมาของพระบาฮาอุลลาห์   ผู้ก่อตั้งศาสนาบาไฮ    ซึ่ง พระบ๊อบได้กล่าวว่าเป็น  "บรมศาสดาที่พระผู้เป็นเจ้าจะแสดงให้ปรากฏ"  คล้ายกับ จอห์นเดอะแบพติสท์   บาไฮเชื่อว่าพระบ๊อบเองก็เป็นพระศาสดาองค์หนึ่ง  และคัมภีร์ของ พระองค์มีชื่อว่า บายัน  ซึ่งบรรจุกฎและคำสอนต่าง ๆ ไว้โดยการเปิดเผยศาสนาของพระบ๊อบ     พระองค์จึงเป็นเสมือนประตูที่มนุษย์สามารถที่จะผ่านจากระบบโลกเก่าไปสู่ระบบโลกใหม่
พระบ๊อบเป็นพ่อค้า เป็นบุคคลที่สุภาพและเปี่ยมด้วยความรัก  มีความรอบรู้และสติ ปัญญาติดตัวมาแต่กำเนิด สาวกคนแรกของพระองค์คือ มุลลา ฮุสเซ็น ยอมรับพระบ๊อบ เป็นพระศาสดาจากพระผู้เป็นเจ้า เมื่อวันที่  ๒๓  พฤษภาคม ค.ศ. ๑๘๔๔   ซึ่งถือเป็นวัน เริ่มต้นศักราชบาไฮ
ผู้คนมากมายยอมรับพระบ๊อบและปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์  จนทำให้บรรดา นักบวชและข้าราชการเกรงว่าพวกเขาจะสูญเสียอิทธิพลและความมั่งคั่ง  พวกเขาจึงบอก รัฐบาลว่าจะเกิดความยุ่งยากในแผ่นดินหากไม่ประหารพระบ๊อบเสีย ดังนั้นพระบ๊อบจึงถูก จับกุมคุมขัง และถูกยิงเป้าโดยกองทหารในปี ค.ศ.๑๘๕o
เหตุการณ์ที่สัมพันธ์กับการประหารพระบ๊อบนั้นน่าสังเกตยิ่ง พระบ๊อบถูกนำตัวออก มาจากห้องขังในปราสาทบนภูเขาลูกหนึ่งที่ชีริค   เพื่อไปยังค่ายทหารในเมืองทาบริซทาง ตอนเหนือของอิหร่านในตอน เช้าของวันประหาร ขณะที่พระองค์กำลังยุ่งอยู่กับการสั่งงาน เลขานุการของพระองค์  ในห้องขังในค่ายทหาร  หัวหน้าผู้คุมเข้ามาเพื่อนำตัวพระองค์ไป พระบ๊อบตรัสต่อเขาว่า  " จนกว่าเราจะได้พูดทุกสิ่งที่เราต้องการกับเขา  จะไม่มี อำนาจใดในโลกมาห้ามเราได้  แม้ว่าโลกทั้งหมดจะใช้อาวุธต่อต้านเรา  พวก เขาก็ไม่สามารถยับยั้งเรามิให้พูดจนครบคำสุดท้ายที่เราตั้งใจไว้ "
ผู้คุมคนนั้นไม่สนใจคำพูดของพระบ๊อบ  และนำตัวพระบ๊อบออกจากห้องขัง  พระองค์ถูกล่ามโซ่ และนำตัวเดินไปตามถนนจนถึงจตุรัสกลางเมือง   ณ  ที่นั้นพระองค์ถูกมัด แขวนหลังติดอยู่กับกำแพง สาวกหนุ่มผู้หนึ่งชื่อเอนิส ได้รับเลือกให้ตายพร้อมกับพระองค์ เขาถูกมัดอยู่ด้วยโดยศรีษะของเขาซบอยู่กับอกของพระบ๊อบ
และแล้ว  ท่ามกลางผู้ที่เฝ้าดูเหตุการณ์นับพัน กองทหารจำนวน  ๗๕o  คน ได้เล็ง และยิงกระสุนไปที่พระบ๊อบ เมื่อควันปืนจางลง ผู้ที่เฝ้าดูทุกคนประหลาดใจยิ่ง เชือกที่มัด ขาดออกเหลือเอนิสยืนอยู่ผู้เดียวโดยไม่ได้รับอันตราย และพระบ๊อบหายไป
มีการค้นหาพระบ๊อบทันที และในที่สุดพบว่า พระองค์กลับเข้าไปอยู่ในห้องขัง และ สนทนาอยู่กับเลขานุการของพระองค์   พระองค์หันมายังผู้คุมแล้วกล่าวว่า   " เราเสร็จ การสนทนาของเราแล้ว บัดนี้เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าได้ "
หัวหน้าผู้คุมตกตะลึงจนขอลาออกจากหน้าที่โดยทันที    หัวหน้าของกองทหารที่ยิง พระบ๊อบซึ่งเป็นคริสเตียนชาวอามิเนียน  ได้ปฏิเสธไม่ยอมออกคำสั่งให้ยิงอีก   ดังนั้นกอง ทหารชุดที่สองซึ่งเป็นทหารมุสลิม  จึงถูกเรียกให้มาทำหน้าที่นี้เมื่อเวลาเที่ยงวันของวันที่ ๙ กรกฎาคม ค.ศ.๑๘๕0  คราวนี้พระบ๊อบกับสาวกถูกสังหารทันที ร่างกายของทั้งสองปน อยู่ด้วยกัน พรุนไปด้วยกระสุนแต่ใบหน้าของพระบ๊อบไม่ถูกกระสุน จากนั้นเกิดพายุพัดพา ฝุ่นปกคลุมเมืองทาบริซ ทำให้ฟ้ามืดมิดไปจนถึงเวลาค่ำ
 
สถูปที่ฝังพระศพของพระบ๊อบ

สถูปที่ฝังพระศพของพระบ๊อบ
ปัจจุบันเป็นสถานที่แห่งหนึ่งสำหรับการแสวงบุญของบาไฮศาสนิกชนทั่วโลก

หมายเหตุ   :  เหตุการณ์เหล่านี้ถูกบันทึกอยู่ในเอกสารทางประวัติศาสตร์   รวมทั้งจดหมายฉบับหนึ่งที่
            กงศุลต่างประเทศของอังกฤษในเมืองทาบริซเขียนถึง ลอร์ด ปาร์เมอร์สตัน ผู้เป็นรัฐมนตรี
            ต่างประเทศของอังกฤษ ลงวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ค.ศ.๑๘๕0 นอกจากนี้กงสุลรัสเซีย ได้ให้
            จิตรกรผู้หนึ่งวาดรูปพระศพของพระบ๊อบในวันหลังจากที่พระบ๊อบถูกประหารชีวิต
 
ร่างของทั้งสองถูกนำลงมาและโยนทิ้งไว้ที่ขอบคูเมือง ต่อมาสาวกของพระบ๊อบไป กู้เอามาเก็บรักษาไว้ พระศพนั้นเก็บซ่อนเอาไว้เป็นเวลาเกือบ  ๖0  ปี จนกระทั่งในที่สุดปี ค.ศ.๑๙0๙  พระศพนั้นถูกนำมาบรรจุไว้ในสถูปที่สร้างไว้เป็นพิเศษ   บนภูเขาคาร์เมลใน เมืองไฮฟา  ประเทศอิสราเอล  โดยพระอับดุลบาฮา  ผู้เป็นบุตรชายคนโตของพระบาฮาอุลลาห์

พระบาฮาอุลลาห์ ผู้ก่อตั้งศาสนาบาไฮ
มีร์ซา ฮุสเซ็น อาลี   ผู้ซึ่งต่อมามีพระนามว่า พระบาฮาอุลลาห์ (แปลว่าความรุ่งโรจน์ของพระผู้เป็นเจ้า)    ประสูตรที่ประเทศอิหร่าน วันที่  ๑๒  พฤศจิกายน  ค.ศ.๑๘๑๗ พระองค์เป็นบุตรคนแรกของ มีร์ซา บูซุก  แห่งเมืองนูร์ ผู้เป็นรัฐมนตรี  เมื่อบิดาของพระ องค์ถึงแก่กรรม พระองค์ได้รับการคาดหวังให้ดำรงตำแหน่งของพระบิดา  แต่พระบาฮาอุลลาห์ไม่รับเกียรติอันนี้  นายกรัฐมนตรีไม่บังคับพระองค์แต่พูดว่า   " อย่าไปยุ่งกับเขา เลย ตำแหน่งนี้ไม่คู่ควรสำหรับเขา  เขามีจุดมุ่งหมายที่สูงส่งกว่า  แต่มั่นใจว่าเขาถูกกำ หนดไว้สำหรับงานที่ประเสริฐกว่า ความคิดของเขาไม่เหมือนของเรา ปล่อยเขาไว้ตามลำพังเถิด"
เมื่อพระบ๊อบประกาศศาสนา  พระบาฮาอุลลาห์ยอมรับพระบ๊อบทันที   และเมื่อรัฐ บาลและนักบวชผู้บ้าคลั่งประหัตประหารสาวกของพระบ๊อบ (ชาวบาบี) พระบาฮาอุลลาห์ก็ ร่วมรับความทุกข์ทรมานด้วยพระองค์ถูกกักขัง ๒ ครั้ง และถูกเฆี่ยนตีด้วยแส้ตรงฝ่าเท้า จนเลือดไหล (การทรมานชนิดนี่เรียกว่า บาสตินาโด) ในปี ค.ศ.๑๘๕๒ พระองค์ถูกจับใส่ บ่อน้ำสกปรกชื่อ "ซายีห์ ชาล" หรือ "หลุมมืด"  ซึ่งใช้เป็นคุกใต้ดินขังฆาตกร โจรปล้นคน เดินทาง และอาชญากรไว้ประมาณ  ๑๕0  คน โซ่ที่ล่ามคอของพระบาฮาอุลลาห์หนักเสีย จนพระองค์ไม่สามารถจะเงยศรีษะได้ ทำให้เกิดแผลเป็นติดตัวพระองค์ไปตลอดชีวิต  ใน ช่วงเวลา ๔ เดือนที่พระองค์อยู่ในคุก  ซียาห์ ชาล  พระองค์ได้สัมผัสสมโพธิญาณเป็นครั้ง แรก พระบาฮาอุลลาห์ทรงลิขิตไว้ว่า ในความฝันคืนหนึ่งพระองค์ได้ยินวจนะเหล่านี้กังวาล มาจากรอบด้าน   " แท้จริงแล้วเรามอบชัยชนะให้แก่เจ้าโดยตัวเจ้าเองและปาก กาของเจ้า "   ต่อมาพระบาฮาอุลลาห์ได้รับการปลดปล่อย   ถูกริบทรัพย์สมบัติทั้งหมด แล้วถูกเนรเทศไปแบกแดด ที่นั่นพระองค์ใช้เวลา ๒ ปีอยู่ตามลำพังบนภูเขาเพื่ออธิษฐาน และทำสมาธิ เช่นเดียวกับพระเยซูก่อนที่พระองค์จะประกาศศาสนา  ในที่สุดบุตรชายของ พระองค์คือ พระอับดุลบาฮา ได้ค้นพบพระองค์และขอให้พระองค์กลับไปยังตัวเมือง
ในไม่ช้าอิทธิพลของพระบาฮาอุลลาห์ก็ได้แพร่ออกไป   บรรดานักบวชมุสลิมจึงไม่ ต้องการให้พระองค์อยู่ในแบกแดด เพราะว่าแบกแดดอยู่ใกล้กับสถานที่ศักดิ์สิทธิ์บางแห่ง และผู้แสวงบุญชาวมุสลิมที่เดินทางไปยังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้   มักถูกดึงดูดเข้าไปหา พระบาฮาอุลลาห์และคำสอนของพระองค์
นักบวชเหล่านั้นได้ร้องทุกข์ และในที่สุดรัฐบาลอิหร่านและเจ้าหน้าที่ของจักรวรรดิ ตุรกี ได้เนรเทศพระบาฮาอุลลาห์อีกครั้งให้ไปอยู่สถานที่ห่างไกลกว่าเดิมคือ   เมืองคอนสแตนติโนเปิ้ล ซึ่งปัจจุบันเรียกว่าอิสตันบูล
ก่อนที่พระบาฮาอุลลาห์จะออกจากกรุงแบกแดด   พระองค์ใช้เวลา  ๑๒  วัน  อยู่ใน สวนที่สวยงาม ซึ่งบาไฮศาสนิกชนรู้จักกันในนาม  อุทยานริสวัน  (แปลว่าสวรรค์) วันแรก ตรงกับวันที่  ๒๑  เมษายน  ค.ศ.๑๘๖๓   ซึ่งพระองค์ทรงประกาศฐานะของพระองค์อย่าง เปิดเผยเป็นครั้งแรก  วันที่เก้า  ครอบครัวของพระองค์ตามมาที่สวน และยอมรับคำประกาศของพระองค์  วันที่สิบสอง  พระองค์ได้ออกจากอุทยานพร้อมกับครอบครัว  และสาวก ของพระองค์ เพื่อเดินทางต่อตามการเนรเทศ
บาไฮเฉลิมฉลองครบรอบ  ๑๒ วันนี้เป็นประจำในทุก ๆ ปี  ในฐานะที่เป็นเทศกาล ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด
พระองค์ไปยังคอนสแตนติโนเปิ้ล  ต่อมาไปยังอเดรียโนเปิ้ล ในตุรกี  ที่นั่นพระองค์ ทรงลิขิตสารถึงกษัตริย์และผู้ปกครองทั้งหลายของโลก  เป็นการตรัสต่อพวกเขาว่า  พระผู้ เป็นเจ้ามีข่าวสารใหม่สำหรับพวกเขา  พระองค์ได้ทรงบอกพวกเขาให้วางอาวุธและสลาย กองทัพเสีย   และให้นำเงินไปช่วยเหลือคนยากจน   ดังนี้จะป็นการบ่ายเบี่ยงความยุ่งยาก อันใหญ่หลวงที่จะบังเกิดกับโลก
 
คุกที่เมืองอัคคา

คุกเมืองอัคคา
ภาพนี้แสดงให้เห็นเมืองอัคคาในปัจจุบันซึ่งเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสมัยพระบาฮาอุลลาห์
ในที่สุดพระบาฮาอุลลาห์ถูกส่งไปยังคุกเมืองอัคคา ในอิสราเอล  เมื่อพระองค์เสด็จ มาถึงเมื่อวันที่  ๒๘  สิงหาคม ค.ศ.๑๘๖๘  พระองค์และครอบครัวถูกกักอยู่ในโรงทหารที่ ไม่มีเตียงนอน เหม็นเน่าและน่ากลัว  อาหารการกินอดอยากเป็นเวลา  ๒  ปี  ต่อมามีการ ระดมกองทัพตุรกี และจำเป็นต้องใช้โรงทหาร ครอบครัวของพระองค์จึงถูกย้ายไปยังบ้าน หลังหนึ่งในเมือง
ข้อจำกัดที่เข้มงวดผ่อนปรนทีละน้อย แม้ว่าจะมีการกวดขันเป็นบางครั้ง   บาไฮได้ กลายเป็นที่รู้จัก และนับถือในเมืองอัคคา ในที่สุดแม้ว่าพระองค์ยังคงเป็นนักโทษของทาง การ แต่พระองค์ก็ได้รับอนุญาตให้ไปอาศัยอยู่นอกกำแพงเมือง
พระอับดุลบาฮาจัดที่ให้พระบาฮาอุลลาห์อาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่ที่ชื่อว่า   มาซราเอล เป็นเวลา  ๒  ปี
ช่วงเวลา  ๑๒  ปีสุดท้ายของชีวิต  พระบาฮาอุลลาห์พำนักอยู่ที่บาห์จี  ดังที่แสดงให้ เห็นอยู่ในภาพถัดไป   พระองค์เสด็จปรินิพพาน  ณ  สถานที่นี้  เมื่อวันที่  ๒๙  พฤษภาคม ค.ศ.๑๘๙๒   พระประสงค์และพินัยกรรมของพระองค์ ได้แต่งตั้งให้พระอับดุลบาฮาเป็นผู้ สืบทอดศาสนาต่อจากพระองค์ พระ ศพของพระองค์ฝังอยู่ที่บาห์จีนี้ และตั้งแต่นั้นมาบาไฮ ได้ซื้อสถานที่นี้และบริเวณรอบ ๆ   ตกแต่งให้งดงาม  เป็นสถูปศักดิ์สิทธิ์ที่สุดสำหรับบาไฮ บาไฮผู้แสวงบุญจากทั่วทุกมุมโลกเดินทางมาเยือนสถูปนี้
 
คฤหาสน์บาห์จี สุสานของพระบาฮาอุลลาห์

คฤหาสน์บาห์จี สุสานของพระบาฮาอุลลาห์



แผนที่การถูกเนรเทศของพระบาฮาอุลลาห์


พระปฏิญญา

บาไฮเชื่อว่า พระผู้เป็นเจ้าได้สัญญาต่อมนุษยชาติว่า พระองค์จะไม่ปล่อยมนุษย์ไว้ ตามลำพังโดยไม่ได้รับการนำทาง นี้คือพระปฏิญญาหลัก  ซึ่งบรรลุตามสัญาญาทุกครั้งที่ พระศาสดาองค์ใหม่จากพระผู้เป็นเจ้าถูกส่งมาเพื่อดลใจมนุษยชาติ   พระบาฮาอุลลาห์คือ ศาสดาองค์ล่าสุดที่นำกฎและคำสอนต่าง ๆ มา  ซึ่งเหมาะกับยุคที่เรามีชีวิตอยู่นี้   แต่พระ องค์มิใช่พระศาสดาองค์สุดท้าย
พระบาฮาอุลลาห์ทรงสัญญาต่อบาไฮศาสนิกชน   ซึ่งเรียกสัญญานี้ว่า  พระปฏิญญา รอง เพื่อรับประกันเอกภาพของศาสนา และเพื่อที่จะให้ศาสนาเจริญก้าวหน้าต่อไปในการ สถาปนาระบบของโลกใหม่เป็นระบบของความสันติสุขและปรองดอง
ในพระประสงค์และพินัยกรรมของพระบาฮาอุลลาห์ พระองค์บัญชาให้บาไฮเชื่อฟัง บุตรชายคนโตของพระองค์ คือ    "พระอับดุลบาฮา"   ในฐานะที่เป็นศูนย์กลางแห่งพระ ปฏิญญารองนี้  พระอับดุลบาฮาได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้นำทางของบาไฮ หลังจากปรินิพพาน ของพระบาฮาอุลลาห์  เพื่อเป็นการรับประกันว่า  ศาสนาจะไม่แตกออกไปเป็นนิกาย  และ อำนาจธรรมของพระบาฮาอุลลาห์จะคงอยู่ต่อไป

พระอับดุลบาฮา - ศูนย์กลางแห่งพระปฏิญญา - บุตรชายของพระบาฮาอุลลาห์ อับบาส เอฟเฟนด

 
เป็นบุตรชายคนโตของพระบาฮาอุลลาห์  ท่านเกิดเมื่อวันที่  ๒๓  พฤษภาคม  ค.ศ. ๑๘๔๔  เป็นคืนที่พระบ๊อบได้พบสาวกคนแรก คือ มุลลา ฮุสเซ็น และทรงบอกเขาว่า พระ องค์คือพระศาสดาจากพระผู้เป็นเจ้า  อับบาส เอฟเฟนดิ เป็นที่รู้จักกันด้วยพระนามอับดุล บาฮา ซึ่งมีความหมายว่า ผู้รับใช้ความรุ่งโรจน์
พระอับดุลบาฮาได้เห็นพระบิดาอยู่ใน คุกซียาห์ ชาล  (หลุมมืด)  ขณะเมื่อท่านอายุ ๘  ปี  ท่านได้ติดตามพระบิดาไปตลอดการถูกเนรเทศ ท่านได้รับการปลดปล่อยจากคุกที่ เมืองอัคคาภายหลังจากการปฏิวัติยังเตริ์กในปี ค.ศ.๑๙0๙  ซึ่งขณะนั้นท่านมีอายุได้  ๖๕ ปี พระอับดุลบาฮาใกล้ชิดกับพระบิดามากเพื่อคอยช่วยเหลือ ท่านได้ดูแลสมาชิกในครอบ ครัวและรับรองแขกมากมาย   พระอับดุลบาฮาอธิบายคำสอนของพระบาอุลลาห์ ให้เข้าใจ ง่ายขึ้น  ตลอดชีวิตของท่านคือการรับใช้พระผู้เป็นเจ้าและมนุษยชาติ
จากปี ค.ศ. ๑๙๑๑ - ๑๙๑๓  พระอับดุลบาฮาได้เดินทางครั้งสำคัญไปยังยุโรป และ อเมริกา  ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พระธรรมของศาสนาบาไฮได้แพร่กระจายไปยังประเทศตะวัน ตก  หนังสือพิมพ์หลายฉบับรายงานข่าวการปาฐกถาของท่าน  และสุนทรพจน์ของท่านได้ รับการบันทึกไว้   ด้วยเหตุนี้บาไฮจึงมีธรรมนิพนธ์  และสุนทรพจน์ของท่านมากมายไว้ให้ ศึกษาและอ้างอิงได้ เพื่อเป็นแนวทางการดำเนินชีวิต
พระอับดุลย์บาฮาได้รับบรรดาศักดิ์มากมาย ท่านมักจะเป็นที่รู้จักในฐานะนายท่าน เพราะอัจฉริยภาพ ความรัก และการรับใช้ที่ท่านให้กับทุกคน ในฐานะบุตรคนโตของพระ บาฮาอุลลาห์ และใกล้ชิดพระองค์มากที่สุดตลอดการถูกเนรเทศ และจองจำ พระอับดุลบา ฮาจึงถูกพาดพิงอยู่ในธรรมนิพนธ์ของพระบาฮาอุลลาห์ว่าเป็น  "กิ่งที่ใหญ่ที่สุด" ท่านยัง มีชื่อว่าเป็น  "ความลึกลับของพระผู้เป็นเจ้า" เพราะแม้ว่าตัวท่านเองมิใช่ศาสดา  แต่ ว่าในตัวของท่านมี  ความเป็นมนุษย์ประสานอยู่กับปัญญา   และความสมบูรณ์เลิศที่เหนือ มนุษย์  พระอับดุลบาฮาถูกระบุให้เป็นผู้ตีความหมายพระธรรมแต่เพียงผู้เดียว  เพื่อไม่ให้ มีการเข้าใจพระธรรมผิดไปและเพื่อรักษาความสามัคคีของบาไฮ
พระบาฮาอุลลาห์นั้นไม่สามารถที่จะคลุกคลีกับผู้คนได้อย่างอิสระในระหว่างการถูก เนรเทศ และถูกจองจำที่ยาวนาน  ในทางตรงข้าม พระอับดุลบาฮาได้พบกับประชาชนทั่ว โลกอย่างไม่ขาดสาย  ดังนั้น จำเป็นที่ท่านจะต้องคอยบอกประชาชนเกี่ยวกับการเปิดเผย พระธรรมสวรรค์ และสาธิตให้เห็นว่าพระผู้เป็นเจ้าต้องการให้มนุษย์ดำเนินชีวิตอย่างไร
ท่านเป็นผู้ที่เปี่ยมด้วยความรัก และเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่มาก   มีเรื่องราวมากมายเกี่ยว กับความเป็นอัจฉริยะ  ความเมตตา  และความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของท่าน  ท่านจะแจกจ่าย ทุกสิ่งที่ท่านมีให้แก่ผู้ยากจนและขัดสน  แม้ว่าท่านเองจะมีเพียงเล็กน้อย  หรือไม่มีเหลือ ให้สำหรับตัวเองเลย
 
รูปพระอับดุลบาฮา

รูปพระอับดุลบาฮา

 
ครั้งหนึ่งภรรยาของท่านได้ยืนกรานที่จะซื้อเสื้อคลุมให้ท่าน แทนตัวที่ท่านสวมอยู่ พระอับดุลบาฮาเห็นคนหนึ่งบนถนนที่จำเป็นจะต้องมีเสื้อใส่   ท่านจึงรีบให้เสื้อตัวใหม่ตัว นั้นทันที ท่านเป็นที่รู้จักกันในฐานะ"ตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบ" ที่บาไฮควรเอาเยี่ยงอย่าง
ครั้งหนึ่งพระอับดุลบาฮาถูกถามว่า   "บาไฮศาสนิกชนคืออะไร"  ท่านตอบว่า "การเป็นบาไฮหมายความง่าย ๆ  คือ  การรักทุกคนบนโลกและการพยายาม รับใช้มนุษยชาติ ทำงานเพื่อสันติภาพสากล และภราดรภาพ"
พระอับดุลบาฮาถึงแก่มรณภาพ เมื่อวันที่  ๒๘ พฤศจิกายน  ค.ศ.๑๙๒๑  และพระ ศพของพระองค์ฝังอยู่ที่ด้านขวา  ถัดจากพระศพของพระบ๊อบ   ในสถูปของพระบ๊อบบนภู เขาคาร์เมล ประเทศอิสราเอล

ท่านโชกิ เอฟเฟนดิ  ศาสนภิบาลของศาสนาบาไฮ
ในพระประสงค์และพินัยกรรมของพระอับดุลบาฮา  ท่านได้แต่งตั้งหลานชาย  ซึ่งก็ คือท่านโชกิ เอฟเฟนดิ  ให้เป็นศาสนภิบาลของศาสนาบาไฮ  ซึ่งบาไฮทุกคนควรหันมาหา การนำทาง เพื่อสืบทอดการพัฒนาพระปฏิญญารองต่อไป ท่านโชกิ เอฟเฟนดิ ได้ข่าวการ มรณภาพของปู่ที่ท่านรักเป็นชีวิตจิตใจ เมื่อท่านมีอายุได้  ๒๔  ปี  และกำลังศึกษาอยู่  ณ มหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ด  ประเทศอังกฤษ  ทำให้ท่านได้ล้มป่วยด้วยความเศร้าโศก ท่าน ตกตะลึงเมื่อได้กลับไปถึงบ้านที่เมืองไฮฟา  ประเทศอิสราเอล  แล้วพบว่าพระอับดุลบาฮา ได้มอบความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงให้แก่ท่าน คือการเป็นศาสนภิบาลของศาสนาบาไฮ
ท่านโชกิ เอฟเฟนดิ  ใช้เวลาอยู่หลายสัปดาห์ในการอธิษฐานทำสมาธิ  และจากนั้น ได้รับการสนับสนุน และให้กำลังใจจากพี่สาวของพระอับดุลบาฮา คือ บาฮายี คานูม ผู้เป็น บุตรสาวของพระบาฮาอุลลาห์  และมีพระนามว่า "ใบไม่ศักดิ์สิทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด" ท่าน โชกิ เอฟเฟนดิ  ได้ปฏิบัติหน้าที่  และอุทิศตนอย่างไม่หยุดหย่อนกับงานอันยิ่งใหญ่ที่รออยู่ข้างหน้า
 



หลุมฝังศพของท่านโชกิ เอฟเฟนดิ ในลอนดอน

 
ท่านโชกิ เอฟเฟนดิ ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ท่านแทบจะไม่เคยทานอาหารมากกว่า หนึ่งมื้อในแต่ละวัน  และท่านนอนหลับเพียงไม่กี่ชั่วโมงในแต่ละคืน เวลาที่เหลือของท่าน อุทิศให้กับการสร้างสถาบันบริหารระดับชาติ  และระดับท้องถิ่น  เพื่อที่จะให้สอดคล้องกับ คำสอนของพระบาฮาอุลลาห์ และพระอับดุลบาฮา โดยอาศัยความช่วยเหลือจากพระผู้เป็น เจ้า ท่านจึงทำงานสำเร็จได้มากมายในแต่ละวัน
ท่านโชกิ เอฟเฟนดิ  ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกายน ค.ศ.๑๙๕๗  และถูกฝัง อยู่ในสุสานเกรทนอร์ทเทิร์น ในลอนดอน

 


 
หน้าหลัก | กำเนิดบาไฮ | การขยายศาสนา |  ระบบการบริหาร |  คำสอนบาไฮ |  นมัสการ |  การเป็นบาไฮ 
พัฒนาวิญญาณ |  ใครกำหนดอนาคต |  สักการสถานบาไฮ