คำสอนของศาสนาบาไฮ
- พระวิญญาณอันบริสุทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้า หวนกลับมาในแต่ละยุค ในวรกายของพระศาสดา พระผู้เป็นเจ้าให้มนุษย์ทราบพระประสงค์ และการนำทางของพระองค์ผ่านทางพระศาสดา ซึ่งพระศาสดาแต่ละพระองค์ทรงอธิบายกฎและคำสอนต่างๆ ที่เข้ากับยุคสมัยที่พระองค์เสด็จมา แต่ละพระองค์ยังได้ทรงทำนายถึงการเสด็จมาของพระศาสดาในอนาคต และการเสด็จมาของพระศาสดาผู้ที่จะมาสถาปนาอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าบนโลกนี้ในที่สุด และนำมนุษยชาติไปสู่ยุคทอง คือ ยุคที่ทุกคนจะอาศัยอยู่ด้วยกันฉันท์พี่น้อง อย่างสันติและสมานสามัคคี
- ตัวอย่างเช่น พระกฤษณะกล่าวว่า " ดูกร ภารตะ เมื่อใดก็ตามที่ความชอบธรรมเสื่อมถอยลง และความไม่ชอบธรรมขึ้นมาแทนที่ เมื่อนั้นเราจะเสด็จมาปกป้องคนดี ทำลายคนชั่ว และสถาปนาความชอบธรรม และเราจะมาจุติตามแต่ละยุค"
- พระเยซูกล่าวว่า" เราไปแล้วและจะกลับมาหาเจ้าอีก " และ " เรามีอีกหลายสิ่งที่จะกล่าวต่อเจ้า แต่เจ้าไม่สามารถรับได้ในขณะนี้ อย่างไรก็ตาม เมื่อพระวิญญาณ แห่งสัจธรรมเสด็จมา พระองค์จะนำเจ้าไปสู่สัจธรรมทั้งหมด พระองค์มิได้ตรัสด้วย พระองค์เอง แต่พระองค์จะตรัสตามที่พระองค์ได้ยิน แต่พระองค์จะแสดงสิ่งที่จะมาถึงต่อเจ้า "
- พระโมฮัมหมัดกล่าวว่า " เรามิได้ทำให้ศาสนฑูตองค์ใดต่างจากพระองค์อื่น " พระพุทธเจ้ากล่าวว่า " ไม่มีความแตกต่างระหว่างพระพุทธเจ้าองค์ใด ๆ ในด้านศีล สมาธิ ปัญญา " และทรงกล่าวถึงพระศรีอาริย์ที่จะมาในอนาคตว่า " เราบริหารภิกษุนับร้อย แต่พระองค์จะบริหารจำนวนนับพัน "
- บาไฮเชื่อว่า การบรรลุพันธสัญญามาถึงแล้ว พระบาฮาอุลลาห์ก็คือ พระศาสดาตาม พันธสัญญาของทุกศาสนาในอดีต หลักธรรมที่สำคัญข้อหนึ่งของศาสนาบาไฮ คือ ความสามัคคีเป็นอันหนึ่งเดียวกัน พระบาฮาอุลลาห์ทรงกล่าวว่า " ศาสนาต้องเป็นบ่อเกิดของความสามัคคี ความปรองดอง และลงรอยกันในหมู่มนุษยชาติ หากศาสนาเป็นบ่อเกิดของความร้าวฉาน และไม่เป็นมิตร หากศาสนานำไปสู่การแบ่งแยก และขัดแย้งกัน ไม่มีศาสนาในโลกเสียจะดีกว่า "
- ดังที่ได้กล่าวไว้ บาไฮเชื่อว่า พระผู้เป็นเจ้ามีเพียงพระองค์เดียว ศาสนาทั้งปวงเป็นหนึ่งเดียวกันซึ่งเป็นรากฐานของหลักธรรมที่ว่า มนุษยชาติเป็นหนึ่งเดียวกัน
- พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงมหิทธานุภาพ ทรงสร้างสรรพสิ่ง ดังนั้นประชาชนทั้งปวงในโลกคือ ประชาชนของพระผู้เป็นเจ้า ไม่ว่าจะผิวขาว ผิวดำ ผิวแดงหรือผิวเหลือง ร่ำรวย หรือยากจน มีการศึกษาหรือไม่ เป็นหญิงหรือว่าชาย ในยุคนี้ทุกคนเป็นลูกหลานของพระผู้เป็นเจ้า มนุษยชาติจะต้องรวมกันเป็นครอบครัวเดียวกัน พระบาฮาอุลลาห์ทรงบอกเราว่า " เจ้าเป็นผลไม้ต้นเดียวกัน ใบไม้บนกิ่งเดียวกัน ดอกไม้ในสวนเดียวกัน "
คำสอนอื่นๆ ของพระบาฮาอุลลาห์
การแสวงหาความจริงอย่างอิสระ
- พระบาฮาอุลลาห์บอกเราว่า ยุคนี้เป็นยุคแห่งวุฒิภาวะ และเราต้องตรึกตรองด้วยตัวเองเกี่ยวกับสิ่งที่เราเชื่อ และทำไมเราต้องทำสิ่งนั้น ตัวอย่างเช่น ทำไมเรายอมรับศาสนา หนึ่งว่าเป็นสัจธรรมแต่ไม่ยอมรับอีกศาสนาหนึ่ง เราจะต้องไต่สวนหลักที่มาทั้งหมดของ สัจธรรมด้วยตัวเราเอง ศึกษาคัมภีร์ด้วยตนเอง ไม่ใช่ยอมรับตามครอบครัวของเราหรือ ตามเพื่อนของเรา
- พระอับดุลบาฮาบอกเราว่า" การที่เราคิดว่าเราถูกและคนอื่นทั้งหมดผิดนั้น คืออุปสรรคอันใหญ่หลวงที่สุดในหนทางไปสู่ความสามัคคี และความสามัคคี เป็นสิ่งจำเป็นหากเราจะไปให้ถึงสัจธรรม เพราะสัจธรรมเป็นหนึ่ง....จงอย่ามีอคติ เพื่อเจ้าจะได้รักดวงอาทิตย์แห่งธรรม ไม่ว่าดวงอาทิตย์นั้นจะขึ้นมาจาก ตำแหน่งใดของฟากฟ้า เจ้าจะตระหนักว่า หากแสงธรรมฉายอยู่ในพระเยซูคริสต์ แสงนั้นฉายอยู่ในพระโมเสสและพระพุทธเจ้าด้วย นี้คือความหมายของ "จงแสวงหาสัจธรรม"
- ในศาสนาบาไฮไม่มีนักบวช หรือผู้นำศาสนา บาไฮแต่ละคนจึงรับผิดชอบการพัฒ นาจิตใจตนเอง
ขจัดอคติทุกชนิด
- ในยุคนี้ มนุษยชาติต้องบรรลุวุฒิภาวะและสามัคคีกัน ขจัดสิ่งทั้งปวงที่ก่อให้เกิดความแตกแยกนี้รวมถึง การขจัดอคติทุกชนิดด้วย ไม่ว่าจะเป็นอคติทางด้านเศรษฐกิจ การศึกษา สีผิว เชื้อชาติหรือศาสนา อคติและความบ้าคลั่งทุกชนิด เป็นสิ่งทำลายล้างรากฐานความเป็นปึกแผ่นของมนุษย์
- ฉะนั้น มนุษย์จะต้องปลดตนเองให้หลุดพ้นจากอุปสรรคเหล่านี้ เพื่อว่าความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของมนุษยชาติจะกลายเป็นจริงพระอับดุลบาฮาทรงกล่าวไว้ว่า " แสงสว่างนั้นดี ไม่ว่าจะลุกอยู่ในตะเกียงใด ดอกกุหลาบนั้นสวย ไม่ว่าจะเบ่งบานอยู่ในสวนใด ดวงดาวมีความสุกใสเหมือนกัน ไม่ว่าจะทอแสงมาจากทางทิศตะวันออกหรือทิศตะวันตก "
ความเสมอภาคระหว่างบุรุษและสตรี
- ในยุคนี้ เป็นสิ่งสำคัญที่สตรีควรได้รับการพิจารณาว่าเสมอภาคกับบุรุษ และควรได้รับสิทธิเท่าเทียมกัน เสมอภาคในการศึกษาและโอกาส พระอับดุลบาฮาได้กล่าวเอาว่า " มนุษยชาติเป็นเหมือนนกสองปีก ปีกข้างหนึ่งคือบุรุษ อีกข้างหนึ่งคือสตรี นอกเสียจากว่าปีกทั้งสองจะแข็งแรง และกระพือด้วยพลังร่วมกัน นกจะไม่สามารถเหินขึ้นสู่ท้องฟ้า ในยุคปัจจุบันสตรีต้องก้าวไปข้างหน้าและบรรลุหน้าที่ ในทุกสาขาของชีวิตให้เสมอภาคกับบุรุษ สตรีต้องอยู่ในระดับเดียวกันกับบุรุษ และได้รับสิทธิเท่าเทียมกัน นี้คือคำอธิษฐานของเรา คือ หนึ่งในหลักธรรมพื้นฐานของพระบาฮาอุลลาห์ " พระบาฮาอุลลาห์ทรงอธิบายว่า สตรีในสมัยนี้สามารถบรรลุถึงฐานะอันชอบธรรมโดยอาศัยการศึกษา ที่จริงแล้ว การศึกษาของเด็กหญิงสำคัญ กว่าเด็กชาย เพราะเด็กหญิงจะเป็นแม่ ในฐานะที่เป็นแม่ เธอจะเป็นครูคนแรกของเด็ก รุ่นต่อไป และการอบรมเด็กในปฐมวัยจะมีผลต่อเขาไปตลอดชีวิต ผลที่เกิดกับปฐมวัยใน เด็กรุ่นใหม่แต่ละรุ่น จะทำให้มนุษย์เปลี่ยนแปลงและมนุษยชาติเจริญก้าวหน้า
การศึกษาสากล
- การศึกษาเพื่อให้รักพระผู้เป็นเจ้า และเจตคติที่ถือว่า การรับใช้มนุษยชาติ คือเป้าหมายอันสูงสุดของชีวิต เป็นสิ่งสำคัญกว่าการเอาแต่จดจำข้อมูลต่างๆ การศึกษาเป็น สิ่งสำคัญต่อชีวิต และเป็นพื้นฐานของบุคคล และสังคม เมื่อการศึกษาเป็นไปในแนวทางที่ถูกต้อง มนุษยชาติจะเปลี่ยนแปลง และโลกนี้จะกลายเป็นสวรรค์
- พระบาฮาอุลลาห์กล่าวว่า " เป็นที่บัญญัติไว้ว่า บิดาทุกคนต้องให้การศึกษา แก่บุตรชายและหญิงในวิชาและการเขียน และสิ่งที่บัญญัติไว้ในธรรมจารึก " หากบุคคลใดไม่สามารถที่จะทำสิ่งนี้ได้ เป็นหน้าที่ของสถาบันบริหารบาไฮที่จะจัดการกับเรื่องนี้
การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจด้วยวิธีทางศีลธรรม
- พระบาฮาอุลลาห์ทรงแนะว่า ต้องอาศัยเจตคติใหม่ทางศีลธรรมในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของโลก ตัวอย่างเช่น ควรจะมีการจัดเก็บภาษี แต่มิใช่โดยการบังคับ ควรเป็น การให้โดยสมัครใจ โดยแต่ละคนให้ส่วนหนึ่งจากรายได้ของตนหลังหักค่าใช้จ่ายแล้ว ในวงธุรกิจนั้น พระบาฮาอุลลาห์ทรงสนับสนุนให้ใช้การปรึกษาหารือและร่วมมือกัน เป็นหุ้นส่วนและแบ่งผลกำไรอย่างยุติธรรม เพื่อรักษาผลประโยชน์ของทั้งนายทุนและลูกจ้างให้ดีที่สุด
ความสอดคล้องระหว่างศาสนาและวิทยาศาสตร์
- หากศาสนาอยู่เหนือวิทยาศาสตร์ จะมีภัยจากความบ้าคลั่งศาสนา และความงมงาย และหากวิทยาศาสตร์ไม่ได้รับการนำทางด้วยศีลธรรมทางศาสนา วิทยาศาสตร์ก็จะเป็น สิ่งที่ทำลายล้าง ตัวอย่างเช่น พลังงานปรมณู ซึ่งสามารถจะมานำใช้ได้ทั้งเพื่อจุดประสงค์ ในทางสร้างและการทำลาย ดังนั้นวิทยาศาสตร์ และศาสนาต้องปรองดองกัน
สันติภาพสากลและรัฐบาลแห่งโลก
- พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานโลกที่สมบูรณ์แก่เรา มนุษย์เป็นผู้แบ่งแยกโลกออกเป็นเขตแดน เมื่อมนุษยชาติสามัคคีกันเราจะรู้ว่าโลกของเราเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกัน และ เราจะสถาปนาสันติภาพสากลโดยมีรัฐบาลแห่งโลกในลักษณะของ สหันธรัฐแห่งโลก เพื่อ บริหารงานในทุกดินแดนของโลกอย่างยุติธรรม และเท่าเทียมกัน สหพันธรัฐแห่งโลก ภายใต้รัฐบาลเดียวกันมิได้หมายความว่า วัฒธรรมอันดีงามที่มีอยู่จะสูญหายไป ธรรมนิพนธ์บาไฮย้ำไว้ว่า ความหลากหลายทางวัฒนธรรมควรจะได้รับการปกป้อง และอภิรักษ์ไว้ และค้ำจุนสันติภาพไว้ในเวลาเดียวกัน กล่าวคือ เป็นความสามัคคีในความหลากหลาย
ขจัดความมั่งคั่งและความยากจนที่มากเกินไป
- การมีรัฐบาลแห่งโลกบริหารทรัพยากรอย่างเท่าเทียมกัน จะขจัดความมั่งคั่ง และความยากจนที่มีมากเกินไปได้ในที่สุด ขจัดสภาพอดอยากขาดแคลน และความมั่งคั่งที่ เกินความจำเป็นนี้ มิได้หมายความว่า ผู้ที่ทำงานหนักกว่าจะไม่ได้รับรางวัลสำหรับงานของตน เป็นสิ่งสำคัญที่คนเราควรทำงานให้สุดความสามารถของตนอยู่เสมอ ศาสนาบาไฮสอนว่า ทุกคนต้องทำงานและการทำงานถือว่าเป็นการบูชา เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงประทานความสามารถและพรสวรรค์ให้แก่เรา ถ้าหากพรสวรรค์เหล่านี้ถูกใช้จนสุดความสามารถ เมื่อนั้นพระผู้เป็นเจ้ากำลังได้รับการสรรเสริญ
ภาษาสากล
- เมื่อทั่วทั้งโลกเป็นหนึ่งเดียวกัน พระบาฮาอุลลาห์ทรงแนะนำว่าควรเลือกภาษาหนึ่ง หรือคิดภาษาขึ้นมาใหม่เพื่อที่จะใช้เป็นภาษาสากล เพื่อว่าพวกเราจะได้เข้าใจกันและกัน หลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดที่เกิดจากการสื่อสารกันไม่ได้เต็มที่
ความจงรักภักดีต่อรัฐบาล
- ศาสนาบาไฮยืนยันว่า พระวจนะของพระผู้เป็นเจ้ามีพลังสร้างสวรรค์ ถ้าหากพระผู้เป็นเจ้าเปิดเผยผ่านทางพระบาฮาอุลลาห์ว่าจะมีรัฐบาลแห่งโลก รัฐบาลแห่งโลกก็จะได้รับการสถาปนาขึ้นจริง มิได้หมายความว่าบาไฮมีแรงจูงใจในทางการเมืองหรือพยายามลบล้างระบบการปกครอง ความจริงแล้วบาไฮมีข้อห้ามมิให้เข้าร่วมการเคลื่อนไหวในการ บ่อนทำลายการเมืองหรือการเคลื่อนไหวต่อต้านศาสนา บาไฮไม่สามารถเป็นสมาชิกทาง การเมืองหรือองค์การลับใดๆ ท่านโชกิ เอฟเฟนดิ กล่าวไว้ว่า " เราบาไฮเป็นหนึ่งเดียวกันทั่วโลก เรากำลังก่อสร้างระบบแห่งโลกใหม่ซึ่งมีจุดกำเนิดจากสวรรค์ เราจะสร้างระบบใหม่นี้ได้อย่างไร หากบาไฮทุกคนเป็นสมาชิกของพรรคการเมืองต่าง ๆ ซึ่งบางพรรคขัดแย้งกันโดยสมบูรณ์ ความสามัคคีของเราจะอยู่ที่ไหน เราจะแบ่งแยกกันเองเพราะพรรคการเมือง ซึ่งขัดกับจุดประสงค์ของเรา "
- ดังนั้น บาไฮทุกคนควรส่งเสริมประโยชน์ให้แก่ประเทศของตน โดยไม่เห็นแก่ตัว และด้วยความรักชาติอย่างแท้จริง และถึงกระนั้น ก็ไม่หันเหไปจากมาตรฐานอันสูงส่งที่ อยู่ในคำสอนของพระบาฮาอุลลาห์ บาไฮควรแสดงความจงรักภักดีโดยไม่มีเงื่อนไข และ เชื่อฟังรัฐบาล มียกเว้นเพียงข้อเดียวต่อกฎนี้คือ เมื่อรัฐบาลออกคำสั่งให้บาไฮเลิกนับถือ ศาสนาของตนนี้ เป็นสิ่งที่บาไฮไม่ต้องเชื่อฟัง แม้ว่าปัจจุบันนี้บาไฮกำลังได้รับความทุกข์ ทรมานและถูกฆ่า เพราะว่าพวกเขาไม่ยอมปฏิเสธความศรัทธาในพระบาฮาอุลลาห์
พระบาฮาอุลลาห์มีกฎข้อห้ามบางประการ เช่น อัลกอฮอล์และยาเสพติด
- บาไฮมีข้อห้ามมิให้ดื่มแอลกอฮอล์หรือใช้ยาเสพติด เช่น โคเคนหรือกัญชาเหตุผลคือ สิ่งเหล่านี้ทำลายจิตใจและความเป็นมนุษย์ พระอับดุลบาฮากล่าวว่า " อัลกอฮอล์ เผาผลาญจิตใจ ชะงักพลังชีวิต บั่นทอนวิญาณ เป็นผลเสียต่อร่างกาย ทำให้มนุษย์สิ้นท่าและสูญเสีย "
การนินทา
-
การนินทาลับหลังนี้เป็นข้อห้ามสำหรับบาไฮ เพราะการนินทาก่อให้เกิดความแตกแยก พระบาฮาอุลลาห์ทรงบอกว่า " จงอย่าเอ่ยบาปของผู้อื่น ในเมื่อเจ้าเองก็เป็น คนบาปหากเจ้าละเมิดบัญชานี้เจ้าจะได้รับเคราะห์และเราจะพยานในเรื่องนี้"
ธรรมนิพนธ์บาไฮ
- ลักษณะสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของการเปิดเผยพระธรรมของพระบาฮาอุลลาห์ ก็คือ ความเชื่อถือได้ของบันทึกพระวจนะของพระองค์ ไม่เหมือนยุคของศาสนาในอดีต ที่วจนะของพระศาสดาไม่ได้รับการบันทึกไว้ในขณะที่วจนะเหล่านั้นถูกเปล่งนี้ พระวจนะของพระบาฮาอุลลาห์ได้รับการบันทึกไว้ ขณะที่พระองค์เปิดเผยวจนะเหล่านั้น ดังนั้นบาไฮแน่ใจได้ว่าพระวจนะ กฎต่างๆ และคำสอนสำหรับยุคนี้ที่ตนมีอยู่ มาจากพระผู้เป็นเจ้าโดยแท้จริง
- พระบาฮาอุลลาห์แทบจะไม่ได้รับการศึกษาในวัยเด็กตามประเพณีในสมัยนั้น แม้ว่าพระองค์จะเกิดมาในครอบครัวที่มั่งคั่ง เป็นถึงบุตรของรัฐมนตรี ความรู้ของพระองค์มีมาแต่กำเนิดโดยพรที่พระผู้เป็นเจ้าประทานมาให้ การเปิดเผยวจนะของพระผู้เป็นเจ้า ไม่เคยขึ้นอยู่กับความรู้ที่เล่าเรียนมา
- เมื่อการเปิดเผยพระธรรมสวรรค์บังเกิดกับพระบาฮาอุลลาห์ พระวจนะของพระผู้เป็นเจ้าได้หลั่งไหลออกมาจากริมฝีปากของพระองค์ และได้รับการบันทึกไว้โดยเลขานุการของพระองค์ และในบางครั้งพระองค์ทรงลิขิตเอง พระวจนะหลั่งไหลออกมาอย่างรวดเร็วจนบ่อยครั้งที่เลขานุการยากจะบันทึกไว้ได้ ปากกาขนนก และกระดาษนับไม่ถ้วนนำมาใช้บันทึกวจนะ และต่อมาจึงได้นำมาคัดลอกใหม่ให้สวยงาม นำไปให้พระบาฮาอุลลาห์ ตรวจสอบความถูกต้องและประทับตรารับรอง
- ธรรมนิพนธ์ของพระบาฮาอุลลาห์อาจเป็นที่เรียกว่า ธรรมจารึกหรือคัมภีร์ เปิดเผยเป็นภาษาเปอร์เซียและภาษาอาหรับ ธรรมจารึกที่ได้รับรองแล้วจะถูกนำมาคัดลอกไว้ หลาย ๆ ฉบับ เพื่อแจกจ่ายให้สาวก
- สาวกจำนวนน้อยองค์นัก ที่จะได้รับอนุญาตให้อยู่กับพระองค์เป็นเวลาชั่วครู่ในบางโอกาส ขณะที่พลังของพระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังเปิดเผยพระธรรมผ่านทางพระบาฮาอุลลาห์ พวกเขาได้รายงานว่าในช่วงเวลาดังกล่าวนี้ ความรุ่งโรจน์สว่างไสวเปล่งออกมาจาก พระองค์และรูปโฉมของพระองค์เปลี่ยนไปสว่างไสวจนพวกเขาไม่สามารถมองพระพักตร์ของพระองค์ได้
- พระบาฮาอุลลาห์ทรงประกาศว่า พระวจนะของพระศาสดา จากพระผู้เป็นเจ้านั้นมีพลังสร้างสรรค์ : " ทุกพยัญชนะที่เปล่งจากโอษฐ์ของเรา ได้รับการประสาทด้วย พลังฟื้นชีวิตที่จะก่อกำเนิดการสร้างสรรค์ใหม่ เป็นการสร้างสรรค์อันไพศาลที่ไม่มีใครหยั่งรู้ได้นอกจากพระผู้เป็นเจ้า " บาไฮเชื่อว่า สิ่งใดก็ตามที่พระบาฮาอุล - ลาห์บัญญัติไว้นั้นมีชีวิต และจะบังเกิดขึ้นจริง
ผลงานการเปิดเผยพระธรรมที่สำคัญที่สุด ๓ เล่มของพระบาฮาอุลลาห์ คือ
- ๑. พระคัมภีร์คีตาบา อัคดัส (พระคัมภีร์แห่งกฎ) บรรจุคำสั่งและกฎต่างๆ สำหรับ
- การบริหารระบบแห่งโลกใหม่
- ๒. พระคัมภีร์คีตาบา อีคาน (พระคัมภีร์แห่งความมั่นใจ) อธิบายเกี่ยวกับพระวจนะ
- ของพระผู้เป็นเจ้าที่เปิดเผยโดยพระศาสดาต่าง ๆ เป็นวิวัฒนาการที่ต่อเนื่องมา
- ตลอดประวัติศาสตร์
- ๓. พระวจนะเร้นลับ เป็นบทกลอนที่อธิบายพฤติกรรมด้านศีลธรรม และจิตใจที่บา
- ไฮควรพยายามบรรลุให้ถึง
ดูกร บุตรแห่งธรรม
คำแนะนำประการแรกของเราคือ จงมีหัวใจที่บริสุทธิ์ เมตตา และผ่องใส เพื่อว่าในหัวใจของเจ้าจะเป็นอาณาจักรที่ยั่งยืนชั่วนิรันดร์ (จาก พระวจนะเร้นลับของพระบาฮาอุลลาห์)
วัฎจักรของชีวิต >การเกิด
- ธรรมนิพนธ์บาไฮมิได้บ่งบอกว่า การเกิดของเด็กจะต้องมีงานฉลองแบบใดเป็นพิเศษ แต่มีบทอธิษฐานที่เหมาะกับเด็กซึ่งนำมาสวดได้ และมีอีกบทหนึ่งซึ่งมารดานำมาสวดได้ตลอดระยะการตั้งครรภ์
การสมรส
- ขั้นแรกของการสมรสบาไฮคือ ชายหญิงจะต้องเลือกคู่ครองเอง ซึ่งทั้งคู่จะต้องทำความรู้จักอุปนิสัยซึ่งกันและกันก่อนจะตัดสินใจ เมื่อทั้งคู่ตัดสินใจจะแต่งงานกัน ทั้งสอง ต้องได้รับความยินยอมจากพ่อแม่ของทั้งสองฝ่าย เพราะการแต่งงานจะนำ ๒ ครอบครัว มารวมกัน มิใช่เฉพาะ ๒ คนเท่านั้น หากไม่ได้รับความยินยอม ทั้งคู่จะแต่งงานกันไม่ได้ เพราะการค้ำจุนความสามัคคีเป็นสิ่งสำคัญ เมื่อได้รับความยินยอมแล้ว จึงต้องติดต่อกับ ธรรมสภาและจัดการเรื่องการแต่งงานต่อไป
- มีกฎข้อเดียวในพิธีสมรสบาไฮ คือ คำปฏิญาณการสมรส ซึ่งคู่บ่าวสาวจะต้องกล่าวต่อกันและกันก็คือ " เราทุกคนจะยึดถือพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าด้วยความสัตย์จริง " นอกเหนือจากนี้จะจัดอย่างไรขึ้นอยู่กับความปรารถนาของบ่าวสาว ซึ่งมักจะมีการอ่านธรรมนิพนธ์ และสวดบทอธิษฐานบาไฮในพิธี และบางครั้งอาจมีดนตรีด้วย การสมรสจะจัดขึ้นที่ใดก็ได้ ตามความเหมาะสม บางคู่อาจเลือกจัดที่บ้าน ในสวน หรือ สถานที่เหมาะสมบางแห่ง
- สิ่งสำคัญคือ เมื่อบาไฮสมรสกัน ทั้งสองมิได้สัญญาอะไรต่อกัน เจ้าบ่าวและเจ้าสาว เสมอภาคกัน และสัญญาต่อพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น บาไฮเชื่อว่าการสมรสมิใช่เป็นพันธะ ทางกายเท่านั้นวิญญาณทั้งสองดวงต้องพยายามเติบโตไปด้วยกัน ด้วยเป้าหมายเดียวกัน คือ การบรรลุพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า และเข้าใกล้พระองค์ ชีวิตสมรสมิได้สิ้นสุดที่ การตายของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่คงอยู่ตลอดกาลเพราะชีวิตสมรสเป็นพันธะทางวิญญาณ
การหย่าร้าง
- การหย่าร้างนั้นอนุญาตให้มีได้ แต่เป็นที่ห้ามปรามอย่างยิ่ง เป็นหนึ่งในหน้าที่ของ ธรรมสภาที่จะพยายามปรองดองคู่สามีภรรยาที่ขัดแย้งกัน เพื่อรักษาชีวิตสมรสไว้ ธรรมสภาสามารถอนุญาตให้สามีภรรยาแยกกันอยู่ ๑ ปี ซึ่งในระหว่าง ๑ ปีนี้ ทั้งคู่ต้องพยายามแก้ไขปัญหา ถ้าครบ ๑ ปีแล้วสามีภรรยายังไม่สามารถคืนดีกันได้ จึงอนุญาตให้หย่ากันได้
ารตาย
- การทำศพของบาไฮใช้วิธีฝัง ไม่มีการเผา เหตุผลคือ ร่างกายเป็นบัลลังก์แห่งวิหาร ภายในของวิญญาณ และต้องให้ความเคารพ ร่างกายก่อขึ้นมาทีละน้อยในครรภ์มารดา จึงต้องปล่อยให้สลายเน่าเปื่อยไปทีละน้อย เพราะนี่เป็นกฎธรรมชาติของสิ่งต่างๆ ศพของ บาไฮต้องฝังในบริเวณที่ไม่ห่างจากสถานที่เสียชีวิตมากกว่าระยะการเดินทาง ๑ ชั่วโมง มีบทอธิษฐานเฉพาะหนึ่งบทของพระบาฮาอุลลาห์ ใช้สำหรับสวดตอนฝังศพ พิธีฝังศพจัด ได้ตามที่ครอบครัวต้องการ
|