| บทที่ ๑ |  บทที่ ๒ |  บทที่ ๓  |  บทที่ ๔ |  บทที่ ๕ |
 
 
ใครกำหนดอนาคต

การใคร่ครวญถึงศตวรรษที่ยี่สิบ

เมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๓๕ สภาผู้แทนราษฎรของประเทศบราซิลได้มีการประชุมสมัยวิสามัญ เพื่อรำลึกถึงการครบรอบหนึ่งร้อยปีของการสวรรคตของพระบาฮาอุลลาห์ อิทธิพลของพระองค์กำลังเป็นที่คุ้นเคยมากขึ้นเรื่อย ๆ ในแวดวงของสังคม และ ปัญญาชนของโลก สาสนธรรมของพระองค์เกี่ยวกับความสามัคคี กระตุ้นเตือนจิตสำนึก ของบรรดาผู้แทนราษฎรชาวบราซิลอย่างเห็นได้ชัด ในระหว่างการประชุม ผู้แทนจาก พรรคการเมืองต่าง ๆ ทุกพรรคในสภานั้น ได้กล่าวคำสรรเสริญแด่พระธรรมลิขิตที่มีจำนวนมากมาย ซึ่งผู้แทนราษฎรท่านหนึ่ง ได้พรรณนาถึงพระธรรมลิขิตเหล่านั้นว่า เป็น " ผลงานทางศาสนาขนาดมหึมาที่สุดที่ลิขิตขึ้นโดยปากกาของพระศาสดาเพียงพระองค์เดียว " ท่านผู้นี้ยังได้กล่าวชื่นชมต่อแนวคิดเกี่ยวกับอนาคตของโลกที่ " อยู่เหนือกว่าขอบเขตต่าง ๆ ทางวัตถุ " อีกด้วย มีผู้แทนราษฎรอีกท่านหนึ่งกล่าวถึงพระธรรมลิขิต เหล่านี้ว่า "ได้ไปถึงมนุษยชาติโดยรวมอย่างปราศจากความแตกต่างแม้เพียงเล็กน้อย ในเรื่องของเชื้อชาติ สีผิว ข้อจำกัดต่าง ๆ หรือความเชื่อทั้งหลาย "

การสรรเสริญนี้ยิ่งน่าจับตามองมากขึ้น เพราะความจริงที่ว่าในดินแดนอันเป็นถิ่นกำเนิดของพระบาฮาอุลลาห์งานของพระองค์ยังคงถูกประณามอย่างน่าขมขื่นโดยนักบวชมุสลิมผู้ปกครองประเทศอิหร่าน ผู้นำคนก่อน ๆ ของพวกเขา เป็นผู้รับผิดชอบในการเนรเทศและจองจำพระองค์ ในช่วงกลางของศตวรรษที่สิบเก้า และในการสังหารหมู่ของบรรดาผู้ที่เข้าร่วมอุดมการณ์กับพระองค์ ในการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของชีวิตมนุษย์ และ สังคม แม้แต่ในขณะเดียวกันกับที่การประชุมในประเทศบราซิลกำลังดำเนินไปนั้น การปฏิเสธที่จะเลิกล้มความเชื่อทางศาสนาที่ได้รับการสรรเสริญอย่างมาก ไปเกือบทั่วทุกส่วนของโลกก็กำลังนำบาไฮศาสนิกชนกว่า๓00,000 คนที่อาศัยอยู่ในประเทศอิหร่าน ไปสู่การประหัตประหาร การถูกโดดเดี่ยว และสู่การจำคุก และความตายสำหรับบาไฮ ศาสนิกชนอีกจำนวนมาก
การต่อต้านที่คล้ายคลึงกัน ได้แสดงให้เห็นถึงทัศนคติของระบอบการปกครองแบบ รวมอำนาจในรูปแบบต่าง ๆ ในตลอดศตวรรษที่ผ่านมา
อะไรคือ ธรรมชาติของเนื้อหาของความคิด ซึ่งได้ปลุกเร้าปฏิกิริยาอันหลากหลาย อย่างเห็นได้ชัด เช่นนี้

 
I
มูลเหตุสำคัญของสาสนธรรมของพระบาฮาอุลลาห์ คือ การเปิดเผยว่าความจริงนั้น โดยธรรมชาติแล้ว เป็นเรื่องเกี่ยวกับจิตวิญญาณ และคือ การเปิดเผยบทบัญญัติต่าง ๆ ที่ ควบคุมปฏิบัติการของความจริงนั้น พระธรรมคำสอนของพระองค์ไม่เพียงแต่มองว่าบุคคลเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีจิตวิญญาณเป็น "จิตวิญญาณที่มีเหตุผล" แต่ยังยืนยันว่ากิจการทั้งหมดที่เราเรียกว่า อารยธรรม นั้นเป็นกระบวนการทางจิตวิญญาณ อันเป็นกระบวนการซึ่ง สติปัญญา และจิตใจของมนุษย์ได้สร้างสรรค์ให้ซับซ้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ และยังให้เป็นวิถีทางอันมีประสิทธิภาพในการแสดงออกซึ่งศักยภาพทางศีลธรรม และทางสติปัญญาที่แฝง เร้นอยู่ภายในพวกเขา โดยการปฏิเสธหลักเกณฑ์อันไร้ข้อพิสูจน์แห่งลัทธิวัตถุนิยม ที่กำลังครอบงำอยู่ พระบาฮาอุลลาห์ทรงประกาศถึงการตีความหมายให้กับกระบวนการทาง ประวัติศาสตร์ในทิศทางตรงกันข้ามกับหลักเกณฑ์เหล่านั้น มนุษยชาติ ผู้เป็นหัวหอกของวิวัฒนาการแห่งความมีสติ ก้าวผ่านระยะต่าง ๆ ที่เปรียบได้กับช่วงวัยทารก วัยเด็ก และวัยรุ่น ในช่วงชีวิตของมนุษย์แต่ละคน การเดินทางได้นำเรามาสู่ธรณีประตูแห่งการมาถึง ของยุคสมัยที่รอคอยมาแสนนาน ในการเป็นชนชาติมนุษย์ที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน สงคราม การแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว และอคติที่เป็นเครื่องหมายของระยะต่าง ๆ ที่ด้อยวุฒิภาวะในกระบวนการนี้ไม่ควรจะเป็นสาเหตุของความสิ้นหวัง แต่ควรจะเป็นแรงกระตุ้นไปสู่การมีความรับผิดชอบแห่งความมีวุฒิภาวะร่วมกัน

ในสารถึงผู้นำประเทศและผู้นำศาสนาต่าง ๆ ในยุคของพระองค์ พระบาฮาอุลลาห์ ตรัสไว้ว่า ในลักษณะที่อยู่เหนือความคิดอ่านของผู้คนที่มีชีวิตอยู่ในตอนนั้น ความสามารถใหม่ทั้งหลายของพลังที่ไม่อาจคำนวณได้ กำลังตื่นตัวขึ้นในประชาชนของโลก เป็นความสามารถที่ในไม่ช้าจะเปลี่ยนแปลงชีวิตด้านวัตถุของโลก พระองค์ตรัสว่า เป็นสิ่งสำคัญที่ จะใช้ความก้าวหน้าทางวัตถุเหล่านี้ที่กำลังจะเกิดขึ้นให้เป็นพาหนะสำหรับการพัฒนาทาง ด้านศีลธรรมและสังคม แต่ถ้าหากความขัดแย้งต่าง ๆ เกี่ยวกับเรื่องเชื้อชาติ และความเชื่อในลัทธิกีดกันมิให้การพัฒนานี้เกิดขึ้น ความก้าวหน้าทางวัตถุก็จะไม่เพียงก่อประโยชน์ทั้งหลายเท่านั้น แต่จะก่อให้เกิดความชั่วร้ายต่าง ๆ ที่ไม่สามารถจินตนาการได้อีก ด้วย คำเตือนบางข้อของพระบาฮาอุลลาห์ ปลุกเสียงสะท้อนอันก่อให้เกิดความวิตก และ ความหวาดกลัวอย่างยิ่งในยุคของเรา พระองค์ได้ทรงเตือนว่า " สิ่งที่แปลกประหลาด และน่าตกใจมีอยู่ในโลก สิ่งเหล่านี้ สามารถเปลี่ยนบรรยากาศทั้งหมดของโลก และการแปดเปื้อนกับสิ่งเหล่านี้ ทำให้ถึงแก่ความตายได้ "

 
II
พระบาฮาอุลลาห์ได้ทรงตรัสว่า ประเด็นหลักด้านจิตวิญญาณที่กำลังเผชิญหน้ากับ ประชาชนทุกคนไม่ว่าเขาจะมาจากเชื้อชาติ ศาสนา หรือ เผ่าพันธุ์ใดก็ตาม คือเรื่องที่เกี่ยวกับการวางรากฐานของสังคมโลก ที่สามารถสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นหนึ่งเดียว ของธรรมชาติของมนุษย์ การรวมเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของพลเมืองของโลก มิใช่เป็นวิสัยทัศน์ในอุดมคติอันไกลเกินเอื้อม หรือ ในท้ายสุดมิใช่เรื่องของทางเลือก หากแต่เป็นองค์ประกอบของระยะต่อไป ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของกระบวนการแห่งวิวัฒนาการทางสังคม ประสบการณ์ทั้งหมดในอดีตและปัจจุบัน กำลังผลักดันเราไปสู่ระยะนี้ จะไม่มีโรคร้ายใด ๆ ที่กำลังกัดกินโลกอยู่ได้รับการเยียวยาจนกว่าเรื่องนี้จะเป็นที่ยอมรับ และกล่าวถึง เพราะความท้าทายหลักทั้งหมดของยุคนี้ที่เราได้ก้าวมาถึงนับเป็นเรื่องระดับโลกและ สากล ไม่ใช่เรื่องเฉพาะที่หรือเรื่องระดับภูมิภาค
มีอยู่หลายตอนในพระธรรมลิขิตของพระบาฮาอุลลาห์ ที่เกี่ยวกับการมาถึงของยุคของมนุษยชาติ ที่พระองค์ได้ทรงใช้แสงสว่างเป็นคำอุปมา ก็เพื่อที่จะให้เห็นรูปธรรมของพลังในการเปลี่ยนแปลงของความสามัคคี ถ้อยคำเหล่าได้นั้นยืนยันว่า " แสงแห่งความสามัคคีนั้นมีอานุภาพมากจนสามารถส่องทั่วพิภพให้สว่างไสว " การยืนยันนี้ทำให้ประวัติศาสตร์ในปัจจุบัน อยู่ในมุมมองที่แตกต่างอย่างเด่นชัด จากมุมมองที่แพร่หลาย อยู่ช่วงท้ายสุดของศตวรรษที่ยี่สิบ สิ่งนี้กระตุ้นให้เราเสาะแสวงเข้าไปในความทุกข์ทรมาน และความล้มเหลวในยุคของเรา เพื่อจะพบปฏิบัติการของพลังต่าง ๆ ที่กำลังปลดแอกให้แก่ความมีสติของมนุษย์ ให้พร้อมรับระยะใหม่ของวิวัฒนาการของตนเอง การยืนยันนี้ เรียกร้องให้เราทำการตรวจสอบอีกครั้งสำหรับสิ่งที่ได้เกิดขึ้นในช่วงหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมา และสำหรับผลกระทบที่พัฒนาการต่าง ๆ เหล่านี้มีต่อกลุ่มก้อนอันหลากหลายของประ ชาชน สีผิว เชื้อชาติ และชุมชนต่าง ๆ

หากเป็นดังที่พระบาฮาอุลลาห์ทรงประกาศว่า " ความผาสุกของมนุษยชาติ สันติภาพและความปลอดภัย ไม่สามารถบรรลุได้นอกเสียจากว่า ความสามัคคีของมนุษยชาติ จะได้รับการสถาปนาอย่างมั่นคง " ก็ย่อมเป็นสิ่งที่สามารถจะเข้าใจได้ว่า ทำไมบาไฮศาสนิกชนจึงมองศตวรรษที่ยี่สิบพร้อมกับความหายนะทั้งหมดของมันว่าเป็น "ศตวรรษแห่งแสงสว่าง" ช่วงเวลาหนึ่งร้อยปีนี้ ได้เป็นพยานถึงการเปลี่ยนแปลงทั้งในทางที่พลเมืองของโลกได้เริ่มที่จะวางแผนอนาคตของมนุษย์เราทั้งมวลและในทางที่เราได้ก้าวมา ถึงการให้เกียรติซึ่งกันและกัน สัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงทั้งสองนี้ คือ กระบวนการของการรวมเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยความโกลาหลวุ่นวายเกินความสามารถในการควบคุมของสถาบันต่าง ๆ ที่มีอยู่ บังคับให้ผู้นำทั้งหลายของโลกเริ่มจัดให้มีระบบใหม่ต่าง ๆ ของการมีองค์กรระดับโลกขึ้น ซึ่งองค์กรเช่นนี้ นับว่าเป็นสิ่งที่อยู่เหนือความคาดคิดในช่วงเริ่มต้นของศตวรรษนี้ ในขณะที่สิ่งนี้กำลังเกิดขึ้น ความผุกร่อนอย่างรวดเร็วก็กำลังไล่ตามมาทันนิสัยและทัศนคติต่าง ๆ ที่ได้ทำการแบ่งแยกผู้คน และประชาชาติต่าง ๆ มานานชั่วหลายศตวรรษ แห่งความขัดแย้งที่แลดูเหมือนว่าจะอยู่ยงคงกระพันต่อไปอีกแสนนาน
ณ จุดกึ่งกลางของศตวรรษ พัฒนาการสองด้านนี้ ได้ก่อให้เกิดความก้าวหน้าอัน หนึ่งขึ้น ซึ่งจะมีก็แต่เพียงชนรุ่นใหม่ในอนาคตเท่านั้น ที่จะรู้ซึ้งในคุณค่าความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของความก้าวหน้านี้ ในท่ามกลางผลพวงอันน่างงงวยของสงครามโลกครั้งที่สอง บรรดาผู้นำที่มีสายตาอันยาวไกลได้ค้นพบในที่สุดว่า เป็นสิ่งเป็นไปได้ในการที่จะเริ่มต้นทำให้รากฐานของระเบียบของโลกมั่นคงขึ้น โดยการจัดตั้งองค์การสหประชาชาติ ขึ้นดังเป็นที่คาดฝันไว้นานแล้วของพวกนักคิดหัวก้าวหน้า ระบบใหม่ของการประชุมระดับนานาชาติต่าง ๆ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้รับการประสิทธิ์ประสาทด้วยอำนาจสำคัญต่าง ๆ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกปฏิเสธอย่างน่าเศร้าใจมาแล้ว ในการจัดตั้งสันนิบาตชาติที่ถูกเลิกล้มไป ในขณะที่ศตวรรษนี้ดำเนินไปข้างหน้า กำลังความสามารถดั้งเดิมในการรักษาความสงบระหว่างชาติของระบบใหม่นี้ ก็ได้รับการฝึกหัดอย่างต่อเนื่อง ในทางที่จะแสดง ให้เห็นอย่างน่าเชื่อถือได้ว่า สิ่งใดบ้างที่สามารถกระทำให้สำเร็จได้ พร้อมกันนี้ก็ได้มีการ ขยายตัวอย่างสม่ำเสมอไปทั่วโลกของระบอบการปกครองโดยสถาบันที่เป็นประชาธิปไตย ถ้าหากผลกระทบในทางปฏิบัติต่าง ๆ ยังคงเป็นที่น่าผิดหวัง สิ่งนี้ก็จะไม่มีทางลดทอนการเปลี่ยนแปลงอันเป็นประวัติศาสตร์ และหวนกลับไม่ได้นี้ ของทิศทางที่ได้เกิดขึ้นแล้ว ในการจัดระบบของกิจการต่าง ๆ ของมนุษย์

กระบวนการสู่สิทธิด้านต่าง ๆ ของประชากรของโลกก็กำลังดำเนินไปเช่นเดียวกัน กับกระบวนการสู่การจัดระบบของโลก การเปิดเผยถึงความทุกข์ทรมานอันน่ากลัวที่เกิด ขึ้นกับบรรดาผู้เป็นเหยื่อของความวิปริตของมนุษย์ ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองได้ก่อให้เกิดความรู้สึกอกสั่นขวัญหนีไปทั่วโลก และเป็นความรู้สึก ที่อาจจะพอนิยามได้ว่า เป็นความรู้สึกละอายใจอย่างล้ำลึก ความบาดเจ็บต่อจิตใจนี้ ได้ก่อให้เกิดความรู้สึกรับผิดชอบทางจริยธรรมแบบใหม่ที่ก่อตัวขึ้นอย่างเป็นทางการ ในรูปของงานของ คณะกรรมาธิการ เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ และหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง อันเป็นพัฒนาการที่ไม่สามารถจะจินตนาการถึงได้ โดยบรรดาผู้นำในช่วงศตวรรษที่สิบเก้าซึ่ง เป็นบรรดาผู้ที่พระบาฮาอุลลาห์ทรงส่งสารถึงเกี่ยวกับเรื่องนี้ ด้วยเหตุที่ได้รับอำนาจตามที่กล่าวมา กลุ่มที่ขยายใหญ่ขึ้นขององค์กรภาคเอกชนทั้งหลาย ได้เริ่มต้นที่จะรับประกัน ว่า การประกาศอย่างเป็นสากลของสิทธิมนุษยชน ได้รับการสถาปนาขึ้นเพื่อเป็นรากฐานของมาตรฐานสากลอันถือเป็นเกณฑ์ในการปฏิบัติต่าง ๆ และจะมีผลบังคับใช้ตามนั้น
กระบวนการในทิศทางเดียวกันได้เกิดขึ้น เช่นกันกับชีวิตด้านเศรษฐกิจในระหว่าง ครึ่งแรกของศตวรรษนี้ ในลักษณะที่เป็นผลพวงแห่งความโกลาหลวุ่นวาย ที่เกิดขึ้นจากภาวะตกต่ำทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง หลายรัฐบาลได้ตรากฎหมายที่ก่อให้เกิดแผนงานต่าง ๆ ด้านสวัสดิการสังคม และระบบสำหรับควบคุมด้านการคลัง กองทุนสำรอง และกฎข้อบังคับทางการค้าต่าง ๆ ขึ้น เพื่อที่จะแสวงหาหนทางป้องกันสังคมของตนเองจากการ เกิดความหายนะครั้งใหม่ดังเช่นที่เคยเกิดไปแล้ว ช่วงเวลาหลังสงครามโลกครั้งที่สองนำมาซึ่งการจัดตั้งสถาบันต่าง ๆ ที่มีขอบข่ายการทำงานอยู่ทั่วโลกอันได้แก่ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ ( International Monetary Fund) ธนาคารโลก (World Bank) ข้อตกลงทั่วไป ว่าด้วยพิกัดอัตราภาษีศุลกากรและการค้า (General Agreement on Tariffs and Trade) และเครือข่ายของหน่วยงานด้านการพัฒนาต่าง ๆ ที่อุทิศตนเพื่อให้ความเจริญรุ่งเรืองทางวัตถุของโลกพัฒนา และเป็นไปอย่างถูกต้องตามหลักของเหตุผล ณ จุดสิ้นสุดของศตวรรษ ไม่ว่าเจตนาจะเป็นเช่นใด และไม่ว่าเครื่องมือในยุคปัจจุบัน จะยังไม่ประณีตสมบูรณ์เพียงใดก็ตาม มนุษย์จำนวนมหาศาลก็ได้ประจักษ์แล้วว่าการใช้ทรัพยากรของโลก สามารถที่จะถูกจัดระบบใหม่ได้ในส่วนที่เป็นสาระสำคัญ เพื่อการตอบสนองต่อแนวคิดใหม่ต่าง ๆ เกี่ยวกับความต้องการ

ผลกระทบของการพัฒนาต่าง ๆ  เหล่านี้ได้ถูกขยายผลขึ้นอย่างกว้างขวางโดยการ ขยายตัวอย่างเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ของการให้การศึกษาแก่มวลชนนอกเหนือจากความตั้ง ใจของหน่วยงานรัฐบาลทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่นที่จะจัดสรรทรัพยากรต่าง ๆ ให้แก่ ด้านนี้เพิ่มขึ้น และความสามารถของสังคมในการระดมและฝึกอบรมครูที่มีคุณวุฒิเหมาะ สมจำนวนมากแล้ว  ยังมีความก้าวหน้าในระดับนานาชาติอีกสองอย่างในศตวรรษที่ยี่สิบที่ นับได้ว่ามีผลกระทบเป็นพิเศษ   อย่างแรกก็คือ แผนพัฒนาจำนวนหลายชุดที่มุ่งเน้นเกี่ยว กับความต้องการด้านการศึกษา   และได้รับการสนับสนุนทางการเงินเป็นจำนวนมากจาก สถาบันต่างๆ   เช่น ธนาคารโลก หน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐบาล  มูลนิธิขนาดใหญ่ทั้งหลาย และหน่วยงานสาขาขององค์การสหประชาชาติ   อย่างที่สองคือ  การขยายตัวอย่างรวดเร็ว และทันทีทันใดของเทคโนโลยีสารสนเทศ  ที่ทำให้พลเมืองของโลกทั้งหมดมีศักยภาพที่ จะสามารถเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากการเรียนรู้ทั้งหมดของมนุษยชาติ     กระบวนการใน การจัดระบบโครงสร้างเสียใหม่ในระดับโลกนี้   ได้ถูกขับเคลื่อน   และเสริมแรง โดยการ เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมายของจิตสำนึก  ประชาชาติทั้งหมดได้พบว่า ตนเองถูกบีบบัง คับอย่างทันทีทันใด ให้ต้องเผชิญหน้ากับความเสียหายต่าง ๆ  ที่เกิดขึ้นจากลักษณะนิสัย ต่าง ๆ   ซึ่งเพาะความขัดแย้งและฝังรากลึก  อันเป็นการเผชิญหน้าในลักษณะของการจับ จ้องที่จะตำหนิติเตียนของคนทั้งโลก   เกี่ยวกับสิ่งที่ในครั้งหนึ่งเคยถูกพิจารณาว่าเป็นการ ปฏิบัติ และทัศนคติที่สามารถยอมรับได้   ผลก็คือ  การกระตุ้นต่อการเปลี่ยนแปลงโดยสิ้น เชิง ในแบบอย่างที่ผู้คนหันมาให้การนับถือซึ่งกันและกัน
ตัวอย่างเช่น ตลอดเวลาที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์  ประสบการณ์ดูเหมือนจะแสดง ให้เห็นว่าสตรีนั้นด้อยกว่าบุรุษตามธรรมชาติ ซึ่งอาจจะพอยืนยันได้ด้วยคำสอนทางศาสนา แต่เมื่อเทียบกับการเปลี่ยนแปลงของสิ่งต่าง ๆ  ในประวัติศาสตร์แล้ว   ในชั่วพริบตาเดียว ความเข้าใจที่แพร่หลายนี้ ได้กลับถดถอยไปในทันทีทันใดทั่วทุกแห่งหน    ไม่ว่ากระบวน การสู่การเกิดผลอย่างสมบูรณ์ตามคำประกาศของพระบาฮาอุลลาห์ที่ว่า   สตรี  และบุรุษมี ความเท่าเทียมกันในทุกด้านนั้นจะยาวนาน  และเต็มไปด้วยความเจ็บปวดเพียงใดก็ตาม แรงสนับสนุนทั้งทางด้านความคิด และจิตใจต่อทัศนคติที่อยู่ในทิศทางตรงกันข้ามก็กำลัง สลายตัวไปอย่างต่อเนื่อง
ยังมีข้อยึดติดอีกอย่างหนึ่ง     ในทรรศนะเกี่ยวกับตนเองของมนุษยชาติตลอดเวลา หลายพันปีที่ผ่านมา นั่นคือการเฉลิมฉลองเกี่ยวกับความแตกต่างทางเผ่าพันธุ์ ซึ่งในไม่กี่ ศตวรรษมานี้ได้เพิ่มความรุนแรงขึ้น   เป็นความคิดฟุ้งซ่านต่าง ๆ  เกี่ยวกับการเหยียดผิว ด้วยความรวดเร็วอย่างน่าตื่นเต้นยิ่ง ในแง่ของประวัติศาสตร์   ผู้คนในศตวรรษที่ยี่สิบนี้ได้ มองเห็นว่าความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของมนุษยชาติ    สถาปนาตนเองขึ้นในฐานะหลัก การที่กำลังให้การนำทางแก่ระเบียบระหว่างชาติ   ในปัจจุบัน   ความขัดแย้งเกี่ยวกับเชื้อ ชาติที่ยังคงก่อความหายนะอย่างต่อเนื่องอยู่ในหลายส่วนของโลก     ไม่ได้ถูกมองว่าเป็น ลักษณะที่เป็นไปโดยธรรมชาติของความสัมพันธ์ระหว่างชนชาติที่แตกต่างกัน     แต่เป็น ความวิกลจริตอย่างจงใจ     ที่จะต้องถูกนำมาไว้ภายใต้การควบคุมระดับนานาชาติ   ที่มี ประสิทธิภาพ

ตลอดช่วงวัยเด็กอันยาวนานของมนุษยชาตินั้น   ก็ได้มีการสันนิษฐานที่ได้รับความ เห็นพ้องจากศาสนาด้วยเช่นกัน   ว่าความยากจนเป็นลักษณะที่ยืนยง และหลีกเลี่ยงไม่ได้ ของระบบสังคม   อย่างไรก็ตาม   ในปัจจุบันแนว  คิดเช่นนี้ซึ่งเป็นการสันนิษฐานที่ได้เคย หล่อหลอมการจัดลำดับความสำคัญของระบบเศรษฐกิจทุกระบบ ที่โลกเคยรู้จัก   กลับถูก ปฏิเสธอย่างกว้างขวาง อย่างน้อยในแง่ทฤษฎี รัฐบาลได้กลายเป็นสถาบันที่ได้รับการยอม รับในทุกที่ว่า โดยเนื้อแท้แล้วคือผู้พิทักษ์ที่มีความรับผิดชอบในการรับประกันความผาสุก ของสมาชิกทุกคนในสังคม
สิ่งที่นับว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง   เนื่องด้วย    ความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับราก เหง้าของแรงจูงใจของมนุษย์  คือการยอมละวางจากการยึดถืออคติเกี่ยวกับศาสนา  ดังที่ เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นใน  "ที่ประชุมสภาศาสนา" ซึ่งได้รับความสนใจอย่างมากในตอนที่ ศตวรรษที่สิบเก้ากำลังเข้าใกล้จุดสิ้นสุดนั้น  กระบวนการของการเจรจาและความร่วมมือ ช่วยเหลือซึ่งกันและกันระหว่างศาสนา ได้ให้แรงสนับสนุนแก่ผลต่าง ๆ  ที่เกิดขึ้นจากการ ที่ลัทธิไม่เชื่อในศาสนา ได้กัดกร่อนทำลายกำแพงแห่งอำนาจของนักบวช ซึ่งครั้งหนึ่งเป็น กำแพงที่ไม่อาจถูกทำลายลงได้   แม้ในยามที่มีการเปลี่ยนแปลงแนวคิดต่าง ๆ  เกี่ยวกับ ศาสนาดังที่ช่วงเวลาหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมาได้ประสบแล้วนั้น  แม้กระทั่งการแพร่ระบาดออก อย่างทันใดในปัจจุบันของปฏิกิริยาการเคร่งครัดในศาสนา   ก็อาจจะถูกย้อนมองดูในภาย หลังได้ว่า   เป็นเพียงปฏิบัติการระวังหลังอย่างสิ้นหวัง  เพื่อที่จะต่อต้านการสิ้นสุดลงอย่าง หลีกเลี่ยงไม่ได้ของการควบคุมโดยผู้ชอบแบ่งแยกนิกาย   พระบาฮาอุลลาห์ทรงตรัสไว้ว่า " ไม่มีข้อสงสัยเลยว่า  ประชาชนบนโลกไม่ว่าเชื้อชาติใด  หรือศาสนาใด  ล้วนได้รับแรง ดลใจจากแหล่งกำเนิดเดียวกัน และอยู่ภายใต้พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวกัน "

ในระหว่างทศวรรษที่วิกฤตินี้   ความคิดของมนุษย์ได้มีประสบการณ์กับการเปลี่ยน แปลงขั้นพื้นฐานต่างๆ ในทางที่ทำให้มนุษย์เข้าใจในจักรวาลในแง่ของกายภาพ ครึ่งแรก ของศตวรรษได้เกิดทฤษฎีใหม่ขึ้น   คือ ทฤษฎีเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเวลาและอวกาศ และทฤษฎีที่เกี่ยวกับกลศาสตร์ของพลังงาน และการเคลื่อนไหว   ซึ่งทั้งสองทฤษฎีนี้เกี่ยว ข้องอย่างใกล้ชิดกับธรรมชาติ   และการทำงานของแสง    และเป็นทฤษฎีที่ได้ปฏิวัติขอบ เขตความรู้ของวิชาฟิสิกส์   และเปลี่ยนวิถีทางทั้งหมดของการพัฒนาต่าง ๆ   ทางวิทยาศาสตร์เป็นที่ชัดเจน  นับแต่นั้นว่า วิชาฟิสิกส์ดั้งเดิมสามารถอธิบายเกี่ยวกับปรากฏการณ์ ต่างๆ  ได้เพียงในขอบเขตอันจำกัด   ประตูบานใหม่ได้เปิดออกในทันที สู่การศึกษาเกี่ยว กับทั้งส่วนประกอบที่มีขนาดเล็กของจักรวาล และระบบจักรวาลอันกว้างใหญ่  อันเป็นการ เปลี่ยนแปลงที่มีผลกระทบอย่างกว้างไกลเกินขอบเขตของวิชาฟิสิกส์   ซึ่งสั่นสะเทือนราก เหง้าทุกอันของทรรศนะเกี่ยวกับโลกที่เคยครอบงำความคิดทางวิทยาศาสตร์มาเป็นเวลา นานหลายศตวรรษสิ่งที่จากไปตลอดกาลคือภาพพจน์ต่าง ๆ เกี่ยวกับจักรวาล ในลักษณะที่ เป็นคล้ายเครื่องจักรซึ่งเดินไปเรื่อย ๆ เหมือนนาฬิกา และการแยกจากกันที่สมมุติขึ้นระ- หว่างผู้สังเกตกับสิ่งที่ถูกสังเกต  และระหว่างความคิดกับวัตถุ ในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับ ฉากหลังแห่งการศึกษาค้นคว้าอันกว้างไกลอย่างที่ได้เกิดขึ้นแล้วนั้น   ขณะนี้วิทยาศาสตร์ บริสุทธิ์กำลังเริ่มที่จะให้ความสนใจกับความเป็นไปได้ที่ว่า   จุดมุ่งหมาย และความมีเหตุ ผลโดยแท้แล้วแฝงอยู่ภายในธรรมชาติและปฏิบัติการของจักรวาล
ผลที่ตามมาของการเปลี่ยนแปลงทางความคิดเหล่านี้ คือ  การที่มนุษยชาติได้ก้าว เข้าสู่ยุคที่การมีปฏิกิริยาต่อกัน  และกันของวิชาวิทยาศาสตร์กายภาพทั้งหลาย   อันได้แก่ วิชาฟิสิกส์  วิชาเคมี  ชีววิทยา และศาสตร์ที่เพิ่งเกิดขึ้นอย่างนิเวศน์วิทยา   ได้เปิดโอกาสอัน น่าทึ่งใจให้กับการยกระดับการดำรงชีวิต ผลประโยชน์ในด้านต่าง ๆ  ที่มีความสำคัญ อย่างยิ่ง  เช่น เกษตรกรรม และการแพทย์  ก็เป็นที่ประจักษ์ชัดอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับ บรรดาผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากความสำเร็จในการเปิดใช้แหล่งกำเนิดใหม่แหล่งต่าง ๆ ของพลังงานใน ขณะเดียวกัน  แขนงใหม่ของวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับสสาร ก็ได้เริ่มต้นที่จะ จัดให้มีทรัพยากรพิเศษต่าง ๆ ในจำนวนมากมาย  ซึ่งเป็นทรัพยากรที่ยังไม่เป็นที่รู้จักกันใน ช่วงเริ่มต้นของศตวรรษ อันได้แก่ พลาสติก เส้นใยแก้วนำแสง เส้นใยคาร์บอน
ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีดังกล่าว  ต่างให้ผลตอบแทนซึ่งกัน และกันเม็ดทรายซึ่งนับว่าเป็นสสารที่ต่ำต้อยและดูเหมือนว่าไร้ค่า ได้กลายรูปไปเป็นแผ่น ซิลิคอนบางเฉียบ  และใยแก้วนำแสงที่บริสุทธิ์    ซึ่งช่วยทำให้เครือข่ายการสื่อสารทั่วโลก เป็นสิ่งที่เป็นไปได้  สิ่งนี้พร้อมกับการใช้ระบบดาวเทียม  ที่นับวันจะยิ่งซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ ได้เริ่มจัดหาหนทางสู่ความรู้ที่ถูกสะสมไว้ของมนุษยชาติ  สำหรับประชาชนในทุกแห่งหน โดยไม่มีการแยกแยะ เป็นที่ชัดเจนว่า ในอีกไม่กี่ทศวรรษที่กำลังจะมาถึงจะมีการรวมกัน ของเทคโนโลยีทาง  โทรศัพท์  โทรทัศน์  และคอมพิวเตอร์  เข้าไว้ในระบบเดียวของการ สื่อสาร  และสารสนเทศ  ซึ่งเครื่องมือในราคาที่ไม่แพงของเทคโนโลยีนี้จะกลายเป็นสิ่งที่ หาได้ง่ายสำหรับคนจำนวนมาก  คงจะเป็นการยากที่จะกล่าวให้เกินความจริงถึง ผลกระทบทางด้านจิตวิทยา  และสังคม   ที่จะเกิดขึ้นจากการที่  ระบบเงินตราของโลกเพียงสกุล เดียวที่สามารถดำเนินการได้อย่างกว้างขวาง  โดยผ่านทางสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์จะเข้า มาแทนที่ระบบเงินตราอันหลากหลายต่าง ๆ  ที่มีอยู่ในปัจจุบัน  ตามที่ได้มีการคาดการณ์ ไว้ล่วงหน้า  ซึ่งสำหรับผู้คนจำนวนมากแล้วระบบเงินตราของประเทศนับว่าเป็นความภาค ภูมิใจสูงสุดของชาตินั้น ๆ

ที่จริงแล้ว     ผลที่ก่อให้มีการรวมเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน    ของการปฏิวัติแห่ง ศตวรรษที่ยี่สิบนั้น ไม่เป็นที่ชัดเจน อยู่ในสิ่งอื่นใดมากไปกว่าที่มีอยู่ในนัยต่าง ๆ  ของการ เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับชีวิตทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในระดับที่ชัดเจนที่สุด ขณะนี้มนุษยชาติได้รับการประสิทธิ์ประสาทด้วยวิถีทางต่าง ๆ  ที่จำเป็นต่อการที่จะตระ - หนักถึงเป้าหมายทั้งหลายที่พวกเขานึกฝันไว้  ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ถูกปลุกขึ้นมาโดยจิตสำ นึกที่กำลังเป็นผู้ใหญ่ขึ้น   หากจะมองให้ลึกซึ้งลงไปยิ่งขึ้น  การได้รับความสามารถเช่นนี้ กำลังจะเป็นสิ่งที่เป็นไปได้สำหรับพลเมืองทุกคนของโลก โดยไม่เกี่ยวข้องกับสีผิว วัฒนธรรม   หรือเชื้อชาติ   พระบาฮาอุลลาห์ได้ทรงเล็งเห็นไว้ล่วงหน้าว่า " ในยุคนี้  ชีวิตใหม่ กำลังเคลื่อนไหวอยู่ภายในประชาชนทุกคนบนโลก  แต่กระนั้นยังไม่มีผู้ใดค้นพบสาเหตุ หรือเข้าใจเจตนาของชีวิตใหม่นี้ "      ณ   ปัจจุบันซึ่งเป็นเวลามากกว่าหนึ่งศตวรรษหลัง จากที่ถ้อยคำเหล่านี้ถูกลิขิตไว้   นัยต่าง ๆ  ของสิ่งที่ได้เกิดขึ้นนับตั้งแต่เวลานั้นกำลังเริ่ม เป็นที่กระจ่างชัดขึ้นต่อบรรดานักคิดในทุกแห่งหน

 
go top
กำเนิดบาไฮ | การขยายศาสนา |  ระบบการบริหาร |  คำสอนบาไฮ |  นมัสการ |  การเป็นบาไฮ 
พัฒนาวิญญาณ |  ใครกำหนดอนาคต |  สักการสถานบาไฮ